Page 89 - ปุ๋ยอินทรีย์และการใช้ประโยชน์ในประเทศไทย
P. 89
ห้องสมุดกรมพัฒนาที่ดิน
78
ลงทุนแต่ต้องใช้แรงงานเพิ่มขึ้น จากการศึกษาวิธีการระบายอากาศต่อกิจกรรมของจุลินทรีย์ในกองปุ๋ยหมัก
จากฟางข้าวของพิทยากรและคณะ (2534) พบว่า การกลับกองปุ๋ยหมักทุกๆ 10 วัน ท่าให้ปริมาณจุลินทรีย์ใน
กองปุ๋ยหมักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 30 วันแรกของการกองปุ๋ยหมัก หรือจะท่าการกลับกองปุ๋ยหมักทุกๆ
20 วัน หรือท่าการกลับกองปุ๋ยเมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้นในกองปุ๋ย 50 องศาเซลเซียสได้ ซึ่งจะช่วยท่าให้ปริมาณ
จุลินทรีย์เพิ่มขึ้นได้เช่นกัน และท่าให้อัตราการลดลงของค่า C/N ratio ลดลงใกล้เคียงกันระหว่าง 20:1 ถึง
30:1 หลังจากหมักฟางข้าวประมาณ 3 เดือน ส่าหรับในกรณีที่ไม่มีแรงงานเพียงพอในการกลับกองปุ๋ยหมัก
อาจจะใช้วิธีการ 2 วิธีการ ดังนี้
1 การใช้การเติมอากาศแบบธรรมชาติ (passive aeration) ซึ่งอาศัยกลไกที่ท่าให้อากาศ
เคลื่อนไหว 3 แบบ (ยงยุทธและคณะ, 2551) คือ
1.1 การแพร่โมเลกุล เกิดเนื่องจากการใช้ออกซิเจนในการหมัก ดังนั้นความเข้มข้นของ
ออกซิเจนภายนอกกองย่อมสูงกว่าภายในกองเสมอ จึงเกิดมีการแพร่ของออกซิเจนเข้าไปอย่างต่อเนื่อง
เพื่อให้เกิดสมดุล แต่กระบวนการนี้เกิดขึ้นช้ามากจึงไม่ถือเป็นกลไกส่าคัญของการเติมอากาศให้กองปุ๋ย
1.2 ลมมีความส่าคัญในการเคลื่อนที่ของอากาศ เพื่อเติมออกซิเจนส่าหรับกองวัสดุในที่โล่ง
และมีลมโกรก อาจเห็นไอน้่าโชยออกมาจากกองวัสดุ
1.3 การพาความร้อน เป็นกลไกที่ส่าคัญของการเติมอากาศแบบธรรมชาติ เพราะความร้อนที่
เกิดจากการหมัก ท่าให้อุณหภูมิของอากาศและวัสดุในกองสูงขึ้นและอากาศลอยออกจากกอง เป็นเหตุให้
อากาศใหม่ภายนอกกองที่เย็นกว่าเข้าไปแทนที่ ดังนั้นอัตราการถ่ายเทอากาศจึงขึ้นอยู่กับความแตกต่าง
ระหว่างอุณหภูมิภายในและภายนอกกองปุ๋ย และความต้านทานการไหลของอากาศผ่านวัสดุในกองปุ๋ยนั้น
ดังนั้นการท่าให้กองปุ๋ยมีอุณหภูมิสูงขึ้นเพื่อขับเคลื่อนการพาความร้อนและสภาพของกองปุ๋ยมีความพรุนมาก
พอและมีช่องต่อเนื่อง จะท่าให้การเติมอากาศแบบธรรมชาติเกิดขึ้นได้ดี
เช่น การผลิตปุ๋ยหมักโดยการใช้ท่อหรือไม้ไผ่สอดในกองปุ๋ยการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ด้วยระบบเติม
อากาศโดยใช้ลูกหมุน และการผลิตปุ๋ยหมักแบบไม่กลับกองวิธีวิศวกรรมแม่โจ้ 1 (ธีระพงษ์, 2555)
2. การเติมอากาศด้วยแรง (force aeration) เป็นการใช้วิธีกล เช่น พัดลมประกอบกับท่อน่า
อากาศ อุปกรณ์อื่นๆ ที่จ่าเป็น และเครื่องควบคุม ซึ่งมีหลายระบบเช่นใช้พัดลมหลายเครื่องและควบคุมแต่
ละเครื่องเป็นให้ปิดเปิดเป็นอิสระต่อกัน หรือมีพัดลมหลายเครื่องประกอบเข้ากับท่อลมใหญ่และแยกเป็นท่อ
ลมย่อยควบคุมเข้าไปแต่ละกองปุ๋ย โดยการเติมอากาศแบบนี้แบ่งเป็น 2 แบบ คือ ใช้แรงอัดเพื่อดันอากาศให้
กระจายไปตามเครือข่ายท่อย่อยสู่บริเวณที่ก่าหนด และใช้แรงดูดเพื่อดูดอากาศจากภายนอกมาสู่ท่อ
เครือข่ายแล้วเคลื่อนที่เข้าหาวัสดุในกอง เมื่อเปรียบเทียบสองระบบนี้แล้ว พบว่า การใช้แรงดันเหมาะส่าหรับ
การเติมอากาศในกองปุ๋ย ส่วนการใช้แรงดูดเหมาะส่าหรับการดูดกลิ่นเหม็นออกจากกองปุ๋ย ดังนั้นการใช้ทั้ง
สองระบบร่วมกันโดยมีการปรับทิศทางการเคลื่อนที่ของอากาศให้เหมาะสมกับแต่ละระยะของการหมักก็จะ
ได้ผลดี กล่าวคือให้ระบบใช้แรงดูดท่างานในช่วงแรกเพื่อรวบรวมแก๊สที่มีกลิ่นเหม็นในกองออกไปก่าจัด
ในช่วงต่อมาก็ให้ระบบใช้แรงดันเพื่อเติมอากาศให้กองปุ๋ย นอกจากนี้การกลับทิศทางการไหลของอากาศจะ
ช่วยในการปรับความชื้นและอุณหภูมิของกองปุ๋ยได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การผลิตปุ๋ยหมักแบบไม่พลิก
กลับกองระบบการเติมอากาศ (ธีระพงษ์, 2549) เพื่อเป็นการช่วยระบายอากาศภายในกองปุ๋ยหมักได้ และ