Page 86 - ปุ๋ยอินทรีย์และการใช้ประโยชน์ในประเทศไทย
P. 86
ห้องสมุดกรมพัฒนาที่ดิน
75
ไปด้วย 1 หน่วย จึงจะท่าให้เกิดความสมดุลของสารประกอบทั้งสองในเซลล์และจุลินทรีย์สามารถ
เจริญเติบโตได้ดี (Alexander, 1977) ดังนั้นการท่าปุ๋ยหมักมักจะพิจารณาถึง C/N ratio ของเศษวัสดุนั้นๆ
เศษพืช โดยทั่วไปมีอินทรีย์คาร์บอนเป็นองค์ประกอบอยู่ใกล้เคียงกัน คือ อยู่ในช่วงประมาณ 45 – 50
เปอร์เซ็นต์ แต่จะมีปริมาณไนโตรเจนแตกต่างกันค่อนข้างมาก ดังนั้น ปริมาณไนโตรเจนเศษพืชจึงเป็นปัจจัย
ที่ส่าคัญในการก่าหนดอัตราการย่อยสลาย ส่าหรับเศษวัสดุพืชที่น่ามาใช้ท่าปุ๋ยหมักอาจจะแบ่งออกได้เป็น 2
พวก คือ พวกที่ย่อยสลายได้ง่ายกับพวกที่ย่อยสลายได้ยาก
1) เศษวัสดุพืชพวกที่ย่อยได้ง่าย ได้แก่ เศษวัสดุพืชที่มีค่า C/N ratio ต่่า ดังตารางที่ 5.3 เช่น ต้น
พืชตระกูลถั่วต่างๆ อาจจะไม่จ่าเป็นต้องเติมสารไนโตรเจน หรืออาจจะเติมในปริมาณที่น้อยกว่าที่ใช้กับเศษ
วัสดุที่มีค่า C/N ratio สูง วัสดุเศษพืชตระกูลถั่วมีปริมาณไนโตรเจนค่อนข้างสูงกว่าวัสดุการเกษตรชนิดอื่น
ซึ่งจะมีผลต่อการเพิ่มอัตราการย่อยสลายได้มากขึ้น และใช้ระยะเวลาการย่อยสลายสั้นกว่าวัสดุที่มีปริมาณไนโตรเจน
ต่่า (Cotrufoet et al., 1995) ท่าให้วัสดุเหล่านี้จะใช้เวลาน้อยในการย่อยสลายเพราะเมื่อน่าต้นถั่วที่มี
ไนโตรเจนมากมาหมัก จุลินทรีย์ก็จะได้ไนโตรเจนมากพอในการที่ย่อยสลายเศษพืช ท่าให้การย่อยสลาย
สารอินทรีย์คาร์บอนก็เกิดขึ้นอย่างทั่วถึงและรวดเร็ว
2) เศษวัสดุพืชพวกที่ย่อยได้ยาก ได้แก่ เศษวัสดุพืชที่มีค่า C/N ratio สูงมาก ดังตารางที่ 5.4
เนื่องจากมีองค์ประกอบของลิกนินค่อนข้างสูง ซึ่งย่อยสลายได้ยาก เช่น ซังข้าวโพด กากอ้อย ขี้เลื่อย และขุย
มะพร้าว เป็นต้น วัสดุเหล่านี้จะใช้เวลามากในการย่อยสลาย เพราะกากอ้อยที่มีไนโตรเจนน้อยมาหมัก
จุลินทรีย์ย่อมจะได้ไนโตรเจนไม่เพียงพอในการที่ย่อยสลายเศษพืช ท่าให้การย่อยสลายสารอินทรีย์คาร์บอนก็
เกิดขึ้นไม่ทั่วถึง โดยจุลินทรีย์จะค่อยๆ ย่อยสลายสารอินทรีย์คาร์บอนตามปริมาณไนโตรเจนเท่าที่มีให้ใช้
เศษพืชบางชนิด เช่น ใบยูคาลิปตัสจะมีสารประกอบพวกฟีนอลลิกสูงท่าให้ยากต่อการย่อยสลาย ซึ่งสารฟี
นอลลิกจะพบในใบยูคาลิปตัสมากกว่าในใบพืชชนิดอื่นๆ ดังนั้นในการท่าปุ๋ยหมักอาจจะใช้วัสดุหลายชนิดท่า
การหมักร่วมกัน เช่น การท่าปุ๋ยหมักโดยใช้วัสดุที่ย่อยสลายยากพวกฟางข้าวหรือขี้เลื่อยร่วมกับวัสดุเศษพืชสด
พวกผักตบชวาหรือหญ้าสด จากรายงานของ Briones and Ineson (1996) พบว่า การหมักวัสดุจากใบ
ยูคาลิปตัสร่วมกับเศษใบพืชที่ย่อยสลายง่ายพวกใบโอ๊ค จะใช้ระยะเวลาในการย่อยสลายสั้นกว่าการหมักใบ
ยูคาลิปตัสอย่างเดียว โดยมีการปลดปล่อย CO เพิ่มขึ้นซึ่งบ่งบอกถึงประสิทธิภาพการย่อยสลายมีเพิ่มมาก
2
ขึ้น และมีผลท่าให้การปลดปล่อยไนโตรเจนที่เป็นประโยชน์ต่อพืชในรูปของแอมโมเนียมเพิ่มขึ้นด้วย
ค่า C/N ratio ของเศษวัสดุที่เหมาะสมท่าปุ๋ยหมักอยู่ในช่วงประมาณ 25 – 35 ในทางปฏิบัติอาจยอม
ให้อยู่ในช่วง 35 – 45 เนื่องจากการย่อยสลายในช่วงแรกเกิดขึ้นรวดเร็ว เพราะมีสารที่ย่อยสลายง่ายอยู่มาก
เป็นเหตุให้ค่า C/N ratio ลดต่่ากว่า 35 อย่างรวดเร็ว ส่าหรับกระบวนการหมักอินทรียสารที่สลายได้จะแปร
สภาพเป็นคาร์บอนไดออกไซด์กับน้่า ดังนั้นเมื่อเวลาของการหมักเพิ่มขึ้นปริมาณคาร์บอนในวัสดุจะลดลงแต่
ความเข้มข้นของไนโตรเจนกลับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ C/N ratio ลดลง นอกจากนี้การหมักเศษวัสดุที่มี C/N
ratio ต่่ากว่า 25 จะท่าให้ปุ๋ยหมักสูญเสียไนโตรเจนจากการระเหยไปของแอมโมเนีย แต่ถ้า C/N ratio มาก
เกินไปจะท่าให้ได้ปุ๋ยหมักช้า ส่าหรับตัวชี้วัดมาตรฐานที่ใช้ก่าหนดสภาพของปุ๋ยหมักว่าแปรสภาพได้ดีแล้วจะ
มีค่า C/N ratio ต่่ากว่าหรือเท่ากับ 20:1 ถือว่าสามารถน่าปุ๋ยหมักดังกล่าวไปใช้ใส่ในดินได้โดยไม่ท่าให้พืช
เป็นอันตรายและเป็นปุ๋ยหมักมีคุณภาพดี แต่ในทางปฏิบัติการใช้ปุ๋ยหมักที่ค่า C/N ratio สูงกว่านี้เล็กน้อยก็