Page 7 - การศึกษาประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ปุ๋ยชีวภาพสำหรับนาข้าวต่อการเจริญเติบโต และผลผลิตข้าวปทุมธานี 1 ในดินเหนียว จ.สุพรรณบุรี Study efficiency of biofertilizer for rice cultivation on growth and rice yield in clayer soil in Suphanburi province.
P. 7
ห้องสมุดกรมพัฒนาที่ดิน
(~3,000 - 2,800 cm-1 ) กลุ่มไขมันชนิด C=O ester (~1,740 cm-1 ) และกลุ่ม amide I (~1,700 -
1,600 cm-1 ) กลุ่มคาร์โบไฮเดรตชนิด C-H bonding, C-O stretching และ polysaccharide (~1,450 -
1350 cm-1 , ~1,246 cm-1 และ ~1,200 - 900 cm-1 ) เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งสารเหล่านี้มีส าคัญในการส่ง
สัญญาณการท างานของเอนไซม์ ทั้งยังช่วยให้ผนังเซลล์พืชมีความแข็งแรงเพื่อปกป้องตนเองให้ต้านทานจาก
การเข้าท าลายของเชื้อสาเหตุโรคพืช จากผลการศึกษาครั้งแสดงให้เห็นว่าการใช้เชื้อไอโซเลต CaSUT007
สามารถช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโต และกระตุ้นให้มันส าปะหลังต้านทานโรคใบไหม้ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
Xaxonopodis pv. manihotis ได้
พรรณลดา (2559) ศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาปุ๋ยชีวภาพจากการใช้เชื้อ Brevibacillus sp. SUT47
ร่วมกับไมคอร์ไรซ่า ช่วยส่งเสริมการเข้าสู่พืชและเพิ่มจ านวนสปอร์ของไมคอร์ไรซ่าที่น ามาทดสอบทั้ง 2 ชนิด
คือ Claroideoglomus etunicatum และ Acaulospora tuberculata ได้นอกจากนี้ยังพบว่าปัจจัยอื่น ๆ
เช่น ธาตุฟอสฟอรัส และฮอร์โมนในกลุ่มออกซิน (indole acetic acid, IAA) เป็นอีกปัจจัยที่ส่งเสริมการเข้าสู่
รากพืช และการเพิ่มจ านวนสปอร์ของเชื้อราไมคอร์ไรซ่าได้ จ านวนสปอร์ที่เพิ่มขึ้นนั้นน้อยกว่าจ านวนสปอร์ที่
เพิ่มขึ้นโดยใช้วิธีการปลูกเชื้อร่วมกับ SUT47 ผลการวิเคราะห์โปรตีนของข้าวโพดที่แสดงออกในช่วงที่มี
ปฏิสัมพันธ์กับไมคอร์ไรซ่า และเชื้อจุลินทรีย์ SUT47 ด้วยเทคนิค 2D-gel electrophoresis พบโปรตีนใน
กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับกลไกการป้องกันตัวของพืช และระบบภูมิคุมิกันภายในพืช โดยเฉพาะในกลุ่มของ
reactive oxygen specie (ROS) โดยพบว่าเชื้อแบคทีเรีย SUT47 ช่วยลดการท างานของกลไกการป้องกัน
และระบบภูมิคุ้มกันภายในพืชได้ โดยการกระตุ้นการท างานของเอนไซม์ในกลุ่ม ROS-Scavenging ในพืช
ส่งผลในการยับยั้งกลไกการป้องกัน และระบบภูมิคุ้มกันภายในพืชลดลง และท าให้เชื้อราไมคอร์ไรซ่าเข้าสู่พืช
ได้มากขึ้น และสร้างสปอร์ได้มากขึ้น สามารถน ามาประยุกต์ใช้ในการผลิตหัวเชื้อไมคอร์ไรซ่าที่มีประสิทธิภาพ
และมีต้นทุนในการผลิตต่ าได้
ภารุจีร์ (2556) ศึกษาสภาวะที่เหมาะสมในการเพิ่มปริมาณการผลิตหัวเชื้อปุ๋ยชีวภาพจาก
Azotobacter vinelandii TISTR 1094 ซึ่งเป็นเชื้อที่มีความสามารถในการตรึงไนโตรเจนในรากพืช รวมถึง
ลดต้นทุนการผลิตโดยใช้กากน้ าตาลผลพลอยได้จากโรงงานน้ าตาลเป็นวัตถุดิบ พบว่าเจริญได้สูงสุดที่ความ
เข้มข้นกากน้ าตาล 4 เปอร์เซ็นต์ โดยน้ าหนักต่อปริมาตร อัตราการกวน 150 รอบต่อนาที อัตราการให้อากาศ
9
2 vvm และควบคุมค่าความเป็นกรดด่างที่ 7.0 โดยที่สภาวะดังกล่าวสามารถผลิตเชื้อได้ปริมาณ 7.50 x 10
จ านวนโคโลนีต่อมิลลิลิตร ที่เวลา 24 ชั่วโมง เมื่อน าหัวเชื้อที่ผลิตได้ไปทดสอบกับการปลูกอ้อยในระดับ
ปฏิบัติการโดยเปรียบเทียบระหว่างวิธีการเตรียมท่อนอ้อย ดินที่ปลูก และการรดปุ๋ยน้ าชีวภาพ พบว่า การ
ทดลองที่ 12 (ท่อนอ้อยแช่ปุ๋ย-ดินวันดี+กากหม้อกรอง-รดปุ๋ย) ต้นอ้อยมีความสูงเฉลี่ยมากที่สุด 136.35
เซนติเมตร ในขณะที่การทดลองที่ 1 (ท่อนอ้อยไม่แช่-ดินวันดี-รดน้ า) ความสูงของอ้อยเฉลี่ยต่ าสุด 74.80
เซนติเมตร หลังจากการทดลองปลูกอ้อยเป็นเวลา 3 เดือน น ารากอ้อยทดสอบ และดินบริเวณใกล้ราก ไป
ศึกษาประสิทธิภาพการตรึงไนโตรเจนของเชื้อ A. vinelandii TISTR 1094 พบว่า รากอ้อยจากการทดลองที่
10 (ท่อนอ้อยแช่น้ า-ดินวันดี+กากหม้อกรอง-รดปุ๋ย) แสดงค่ากิจกรรมเอนไซม์ไนโตรจีเนสสูงสุด 37.70 มิลลิ
โมลเอทธิลีนต่อกรัมต่อชั่วโมง ในขณะที่รากอ้อยจากการทดลองที่ 7 (ท่อนอ้อยไม่แช่-ดินวันดี+กากหม้อกรอง-
รดน้ า) มีค่ากิจกรรมเอนไซม์ไนโตรจีเนสต่ าสุด (14.86 มิลลิโมลเอทธิลีนต่อกรัมต่อชั่วโมง) นอกจากนี้ยังพบว่า
รากอ้อยและดินที่รดด้วยปุ๋ยน้ าชีวภาพมีค่ากิจกรรมเอนไซม์ไนโตรจีเนสสูงกว่าตัวอย่างที่รดด้วยน้ าธรรมดา ซึ่ง
แสดงให้เห็นว่าเชื้อ A. vinelandii TISTR 1094 ในปุ๋ยน้ าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการตรึงไนโตรเจนบริเวณราก
อ้อย และส่งเสริมการเจริญเติบโตของอ้อย ดังนั้นการประยุกต์ใช้ปุ๋ยชีวภาพในการเพาะปลูกจึงเป็นอีก
ทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ ทั้งยังช่วยลดปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมีและเป็นการลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรอีก
ทางหนึ่งด้วย