Page 57 - การจัดระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ โครงการขยายผลโครงการหลวงวาวี บ้านดอยช้าง หมู่ 3 ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย
P. 57

ห้องสมุดกรมพัฒนาที่ดิน
                                                                                                       41



                              3) มาตรการผสมผสาน หรือมาตรการวิธีกลร่วมกับวิธีพืช เป็นมาตรการที่นิยมมากที่สุด
                                 - การสร้างคันคูรับน้่า (Hillside-Ditch) ร่วมกับการปลูกหญ้าแฝก (Vetiver hedgerow)

                   ในพื้นที่ที่มีความลาดชันมากกว่า 35% จะสร้างคันคูรับน้่าขอบเขาหรือคันดินแบบ 6 จากนั้นจะมีการปลูก
                   หญ้าแฝกเป็นแถบบริเวณปลายสันคันดิน ซึ่งเป็นมาตรการร่วมกันวิธีกลและวิธีพืช (แถบหญ้าแฝก) เป็น
                   วิธีการที่มีประสิทธิภาพในการช่วยป้องกันชะล้างการพังทลายของดิน คันคูรับน้่าขอบเขา จะเป็นตัวชะลอ
                   การไหลของน้่า และเบนน้่าออกจากแปลง ในส่วนของแถบหญ้าแฝกจะช่วยในการยึดดินบริเวณปลายของ

                   คันดินไว้ ไม่ให้ไหลลงไปเมื่อมีฝนตกลงมา และแถบหญ้าแฝกยังช่วยในการรักษาความชุ่มชื้นในดินได้ดีอีก
                   ด้วย
                            มัตติกาและคณะ (2553) กล่าวว่า วิธีการปลูกพืชตามแนวระดับเพียงอย่างเดียว อาจไม่ได้ผลใน
                   การป้องกันการชะกร่อนของดินในพื้นที่ลาดชันบนที่สูงในภาคเหนือของประเทศไทย ทั้งนี้เนื่องจาก พื้นที่

                   ลาดชันส่วนใหญ่มีลักษณะความลาดชันสูงเกินกว่าร้อยละ 30 ต้องใช้ร่วมกับวิธีการปลูกพืชเชิงอนุรักษ์แบบ
                   อื่น ๆ ด้วย  เกรียงไกร (2555) ได้ทดลองใช้ชานอ้อยคลุมดินในไร่มันส่าปะหลัง พบว่า แปลงที่คลุมดินด้วย
                   ชานอ้อยอัตรา 1,600 กิโลกรัมต่อไร่ มีการสูญเสียดินเพียงร้อยละ 22 ของแปลงที่ไม่คลุมดินและมีน้่าไหล
                   บ่าเพียงร้อยละ 58  ของแปลงที่ไม่คลุมดินนอกจากนี้การคลุมดินด้วยฟางข้าวท่าให้ได้ผลผลิตข้าวโพด

                   มากกว่าการไม่คลุมดินถึง  6-12  เท่า ในปีที่มีฝนแล้ง เนื่องจากวัสดุคลุมดินเมื่อย่อยสลายแล้วจะเพิ่ม
                   ปริมาณอินทรียวัตถุและธาตุอาหารพืช ลดความหนาแน่นของดินท่าให้ดิน มีช่องว่างขนาดใหญ่มากขึ้น
                   ส่งผลให้อัตราการซึมน้่าเข้าสู่ผิวดินสูง ลดการระเหยน้่าจากผิวดินและอุณหภูมิดิน  นอกจากนี้ Hudson

                   (1971) ยังได้กล่าวว่า ถึงแม้จะมีการใช้วิธีกลในการอนุรักษ์ดินและน้่า ดินก็ยังมีการสูญเสีย แต่การจัดการ
                   พืชที่ดีจะสามารถลดการสูญเสียดินได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ การปลูกพืชคลุมดินดีกว่าการใช้วิธีกล ซึ่งอาจจะ
                   ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมาก หากได้รับการปรับปรุงไม่เพียงพอ หรือได้รับการออกแบบไม่เหมาะสม
                   โดยเฉพาะแถบที่มีฝนตกหนักและยาวนาน มาตรการควบคุมการชะล้างของดิน โดยวิธีกลเป็นมาตรการที่
                   ให้ผลดี แต่จะต้องใช้เทคโนโลยีและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายสูงจึงไม่เหมาะกับเกษตรกรที่มีทรัพยากรอยู่อย่าง

                   จ่ากัด ซึ่งข้อเสียของการใช้วิธีกลแบบขั้นบันไดจะไม่เกิดประโยชน์เมื่อใช้โดยล่าพังจะต้องใช้ควบคู่กับวิธี
                   ทางพืช
                            จากการศึกษาของ อุทิศ และ สวัสดี (2547)  เปรียบเทียบมาตรการอนุรักษ์ดินและน้่าบนพื้นที่

                   ลาดชันสูง ซึ่งได้ด่าเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544-2546  พบว่า มาตรการอนุรักษ์ดินและน้่า โดยการจัดท่า
                   ขั้นบันไดไม้ผลแบบระดับ (Orchard hill side terrace) การจัดท่าคูรับน้่าขอบเขาแบบระดับ (Level hill
                   side ditch) การจัดท่าคูรับน้่าขอบเขาแบบลดระดับ (graded hill side ditch) และการจัดท่าแถบหญ้า
                   แฝก (Vetiver grass strip) สามารถลดการสูญเสียดินได้ 91 91 69 และ 58 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเปรียบเทียบ

                   กับวิธีการที่ไม่มีมาตรการอนุรักษ์ดินและน้่า (ปริมาณการสูญเสียดิน 220 237 778 และ 1,053 กิโลกรัม
                   ต่อไร่ต่อปี เปรียบเทียบกับ 2,502 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี) และผลผลิตของข้าวโพดที่ปลูกในพื้นที่มีการจัดท่า
                   มาตรการอนุรักษ์ดินและน้่า ในวิธีการต่าง ๆ จะไม่แตกต่างกันทางสถิติ ถึงแม้ว่ามาตรการอนุรักษ์ดินและ
                   น้่าที่ท่าการศึกษา จะท่าให้มีการสูญเสียพื้นที่ เพื่อจัดท่ามาตรการฯ 13 ถึง 17 เปอร์เซ็นต์ และจะมีผลผลิต

                   ข้าวโพดน้อยกว่าวิธีการที่ไม่มีการเสียพื้นที่ เพื่อการจัดท่ามาตรการอนุรักษ์ดินและน้่า แต่จะมีผลผลิตน้อย
   52   53   54   55   56   57   58   59   60   61   62