Page 56 - การจัดระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ โครงการขยายผลโครงการหลวงวาวี บ้านดอยช้าง หมู่ 3 ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย
P. 56
ห้องสมุดกรมพัฒนาที่ดิน
40
(7) การปลูกพืชระหว่างแถบไม้พุ่มบ่ารุงดิน (alley cropping) เป็นการปลูกพืชระหว่าง
แถบไม้พุ่มบ่ารุงซึ่งปลูกตามแนวระดับและสามารถน่าไปใช้ในพื้นที่ที่มีความลาดเทต่่าถึงความลาดเทสูง
ร่วมกับมาตรการอนุรักษ์อื่น ๆ ช่วยลดการชะล้างพังทลายของดิน ปรับปรุงโครงสร้างและความอุดม
สมบูรณ์ของดินให้สามารถผลิตพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ
(8) การปลูกพืชตามแนวระดับ (Contour Cultivation) เป็นการไถพรวนและปลูกพืช
ตามแนวระดับเพื่อรักษาความชุ่มชื้นในดินและควบคุมการไหลบ่าของน้่าและการชะล้างพังทลายของดิน
ประสิทธิภาพของการปลูกพืชตามแนวระดับนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของดินความลาดเทลมฟ้าอากาศ และ
ลักษณะการใช้ที่ดินโดยทั่วไปแล้วการปลูกพืชตามแนวระดับที่มีประสิทธิภาพดีที่สุด ควรปฏิบัติบนพื้นที่ที่มี
ความลาดเทอยู่ในระหว่างร้อยละ 2 - 7 และระยะของความลาดเทไม่ควรเกิน 100 เมตร ประโยชน์ของ
การปลูกพืชในแนวระดับช่วยลดการเซาะกร่อนประมาณ 0.12 – 16.72 ตันต่อไร่ต่อปี สงวนน้่าไว้ในดิน
ประมาณ 12.3 – 482.6 มิลลิเมตรต่อปี ผลผลิตเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10 ป้องกันกล้าพืช และเมล็ดพืช
มิให้ถูกน้่าชะพาไป
(9) การปลูกพืชเป็นแนวป้องกันลม (Windbreak) เป็นการปลูกพืชที่มีกิ่งใบแน่น เป็นการ
ปลูกพืชขวางทิศทางลม เพื่อลดความเร็วและการสูญเสียที่เกิดขึ้นกับดิน ไม่โค่นล้มง่าย ขวางทางลมไว้เพื่อ
ลดความแรงของลม และลดการระเหยของน้่าที่ผิวหน้าดิน ส่าหรับชนิดของพืชขนาดความสูงและจ่านวนที่
ปลูกขึ้นอยู่กับความเร็วของลมและลักษณะการเคลื่อนที่ของลม การปลูกพืชก่าบังลมสามารถท่าได้หลาย
แนวและหลายทิศทางควรระมัดระวังเกี่ยวกับผลกระทบที่จะเกิดกับพืชหลัก
(10) คันซากพืช (Contour trash line) เป็นการน่าซากพืชที่เกิดจากการบุกเบิกพื้นที่
หรือที่เหลือหลังการเก็บเกี่ยวแล้วน่ามาวางสุมให้สูง 50 เซนติเมตร เป็นคันตามแนวระดับเป็นระยะห่าง
20 - 40 เมตร หรือตามแนวคันดินควรด่าเนินการ ในขณะที่บุกเบิกพื้นที่ใหม่และไม่มีทุนหรือเวลาเพียงพอ
ในการท่าคันดินแบบอื่น ซึ่งในอนาคตสามารถเปลี่ยนคันซากพืชเป็นแนวคันดินได้ ช่วยลดความเร็วของน้่า
ไหลบ่าและดักตะกอนดิน และเป็นการใช้เศษเหลือของพืช ให้เกิดประโยชน์ ในการปรับปรุงบ่ารุงดิน
(11) แถบหญ้าแฝกเพื่อการอนุรักษ์ดินและน้่า (Vetiver Grass) หญ้าแฝกเป็นพืชใบเลี้ยง
เดี่ยวตระกูลหญ้าเช่นเดียวกับหญ้าคา ข้าวฟ่าง และหญ้าอื่น ๆ พบกระจายทั่วไปตามธรรมชาติทั่วทุกภาค
ของประเทศ จากที่ลุ่มถึงที่ดอน สามารถขึ้นได้ดีในดินเกือบทุกชนิด เจริญเติบโตโดยการแตกกอ
เส้นผ่าศูนย์กลางกอประมาณ 30 เซนติเมตร ความสูงประมาณ 0.5 - 1.5 เมตร ใบยาว ประมาณ 75
เซนติเมตร ใบกว้าง 8 มิลลิเมตร มักขึ้นเป็นกอพุ่มหนาแน่นรากค่อนข้างแข็ง เจริญเติบโตในแนวดิ่ง
มากกว่าเจริญด้านข้างและมีจ่านวนรากมากจึงเป็นพืชทนแล้งได้ดี รากประสานติดกันหนาแน่นเสมือน
ม่านหรือก่าแพงใต้ดิน สามารถกักเก็บน้่าและความชื้นได้ ระบบรากหยั่งลึก 1.5 - 3.0 เมตร แผ่ขยายกว้าง
เพียง 50 เซนติเมตร โดยรอบกอเท่านั้นไม่เป็นอุปสรรคต่อพืชที่ปลูกข้างเคียง หญ้าแฝก แบ่งออกเป็น 2
ชนิด คือ กลุ่มพันธุ์หญ้าแฝกลุ่มได้แก่ พันธุ์สุราษฎร์ธานี ก่าแพงเพชร 2 ศรีลังกา สงขลา 3 และ
พระราชทานฯลฯ และกลุ่มพันธุ์หญ้าแฝกดอน ได้แก่ พันธุ์ราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ร้อยเอ็ด ก่าแพงเพชร1
นครสวรรค์ และเลย ฯลฯ (กรมพัฒนาที่ดิน, 2555)

