Page 48 - การจัดระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ โครงการขยายผลโครงการหลวงวาวี บ้านดอยช้าง หมู่ 3 ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย
P. 48

ห้องสมุดกรมพัฒนาที่ดิน
                                                                                                       32



                   ดินแตกกระจายและถูกพัดพาออกไปจากพื้นที่ เมื่อปริมาณน้่าไหลบ่าผิวหน้าดินไหลมารวมตัวกันใน
                   ปริมาณมากขึ้น น้่าจะไหลออกจากพื้นที่อย่างรวดเร็ว ในพื้นที่ที่มีความลาดเทสูงจะท่าให้เกิดการกัดเซาะ

                   ผิวดินเป็นริ้วหรือร่องขนาดใหญ่ ถ้าปล่อยทิ้งไว้เป็นระยะเวลานานอาจท่าให้เกิดความเสียหายจนเกิด
                   กระบวนการชะล้างพังทลายของดินในรูปแบบอื่นในระดับที่รุนแรงได้และยากต่อการแก้ไข ซึ่งไม่สามารถที่
                   จะป้องกันได้อย่างสิ้นเชิง แต่ก็ต้องหาวิธีที่ท่าให้เกิดการชะล้างพังทลายของดินให้น้อยที่สุด (กรมพัฒนา
                   ที่ดิน,  2543)  พืชจะได้รับประโยชน์จากน้่าฝน ที่ไหลลงไปอยู่ในดิน โดยรากพืชดูดขึ้นมาใช้ในการปรุง

                   อาหาร (photo  synthesis)  และการคายน้่าของพืช (transpiration)  นอกจากนี้ลักษณะของฝนที่เป็น
                   ประโยชน์ต่อพืช คือ การกระจายของฝนที่มีความส่าคัญต่อการเจริญเติบโตของพืชมากกว่าจ่านวนน้่าฝน
                   พืชต้องการน้่าฝนสม่่าเสมอและ มีจ่านวนมากพอสมควรในระหว่างการเจริญเติบโต เนื่องจากบนพื้นที่สูง
                   ส่วนใหญ่ต้องอาศัยน้่าฝนเป็นแหล่งน้่าส่าหรับท่าการเกษตร ประกอบกับลักษณะพื้นที่ที่มีความลาดเท ท่า

                   ให้พื้นที่ดังกล่าว   มีการชะล้างพังทลายได้ง่าย ถ้ามีปริมาณน้่าฝนตกมากและตกหนัก จะเป็นลักษณะของ
                   ฝนที่ท่าลายเพราะน้่าฝนหรือแรงปะทะของเม็ดฝนจะกระแทกและชะล้างผิวหน้าดินไป เนื่องจากเม็ดฝนที่
                   ตกลงมานั้นมีพลังงานเกิดขึ้น มีมวล (mass)  และความเร็ว (velocity)  เมื่อตกมากระทบผิวดินก็จะ
                   ถ่ายทอดพลังงานให้กับผิวดิน แรงตกกระทบของเม็ดฝนท่าให้อนุภาคดินแตกกระจายถูกน้่าพัดพาออกไป

                   จากพื้นที่นั้น ท่าให้สูญเสียปริมาณธาตุอาหารไปด้วย (วิศิษฏ์, 2521)
                            การชะล้างพังทลายของดินในประเทศไทย มี 4 ลักษณะ ดังนี้ (กรมพัฒนาที่ดิน, 2558)
                            1)  การชะล้างพังทลายที่พื้นผิวดิน (sheet  erosion)  เกิดบนพื้นที่ลาดเทเล็กน้อยและมีความ

                   ลาดเทของพื้นที่ค่อนข้างสม่่าเสมอ เมื่อผิวของพื้นที่ดินถูกปะทะโดยเม็ดฝน และเมื่อน้่าไหลบ่าจะเกิดการ
                   พังทลายของดินลักษณะนี้ จะสังเกตไม่ค่อยเห็นแต่เมื่อเกิดนาน ๆ จะสังเกตเห็นได้ จากการที่มีหินและราก
                   พืชโผล่บนพื้นผิวดินหรือระดับผิวดินที่เสารั้วต่่าลงมา การชะล้างพังทลายแบบนี้ลึก 1  เซนติเมตร จะ
                   สูญเสียดินประมาณ 24 ตันต่อไร่ (ดิน 1 ไร่ ลึก 15 เซนติเมตร หนักประมาณ 360 ตัน)
                            2)  การชะล้างพังทลายแบบริ้ว (rill  erosion)  เป็นการพังทลายของดินที่เกิดเป็นร่องริ้วเล็ก ๆ

                   กระจายไปทั่วพื้นที่ความลึกไม่เกิน 8 เซนติเมตร ท่าให้ผิวดินขรุขระ แต่เมื่อมีการไถพรวนร่องริ้วบริเวณนี้ก็
                   จะหายไป มักเกิดในพื้นที่ที่มีความลาดเทน้อย มีความลาดเทไม่สม่่าเสมอกันตลอดและตามร่องที่ปลูกพืช
                   ตามแนวลาดเท

                            3) การชะล้างพังทลายแบบเป็นแนวร่องขนาดใหญ่ (gully erosion) เกิดในพื้นที่ที่มีความลาด
                   เทมากและมีระยะของความลาดเทยาว หรือพื้นที่ที่ปลูกพืชตามแนวขึ้นลงของความลาดเทเริ่มแรกจะเกิด
                   การกัดเซาะของร่องน้่าเป็นร่องขนาดเล็ก เมื่อไม่มีการแก้ไขก็จะกลายเป็นร่องน้่าขนาดใหญ่และลึก ใน
                   พื้นที่ที่เป็นดินทรายจะเกิดการชะล้างพังทลายในลักษณะนี้ได้เร็วมากเมื่อ เกิดฝนตกหนัก

                            4)  การชะล้างพังทลายของดินริมฝั่งแม่น้่า (stream  erosion)  เกิดจากการกัดเซาะของน้่าใน
                   แม่น้่าล่าธารหรือแหล่งน้่าต่าง ๆ ท่าให้ดินริมฝั่งแม่น้่าพังทลายและถูกพัดพาไป แต่ละปีจะเกิดการพังทลาย
                   ของดินในลักษณะนี้เป็นปริมาณมาก ดินที่ถูกพัดพาไปจะท่าให้ล่าน้่าและล่าธารตื้นเขิน ล่าน้่าเกิดการ
                   เปลี่ยนทิศทางไหล ท่าให้เกิดน้่าไหลบ่าท่วมชายฝั่ง เป็นต้น (อรทัย, 2543)
   43   44   45   46   47   48   49   50   51   52   53