Page 16 - คู่มือแนวทางการบริหารจัดการเขตเหมาะสมของที่ดินสำหรับพืชเศรษฐกิจ
P. 16
ห้องสมุดกรมพัฒนาที่ดิน
3-6
(3) นํ้าเป็นกรดรุนแรงมากถึงเป็นกรดจัดมาก ทําให้ไม่เหมาะสมต่อการ
เกษตรกรรมและใช้อุปโภคบริโภค
(4) เกิดความไม่สมดุลของธาตุอาหาร เช่น ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม สังกะสี โมลิบดินัม
และทองแดง เป็นต้น
(5) มีสารประกอบหรือธาตุบางชนิดละลายออกมามากจนเป็นพิษต่อพืชที่ปลูก
เช่น สารประกอบของเหล็ก แมงกานีส อะลูมิเนียม และก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ โดยไปยับยั้งการเจริญ
เติบของรากพืชและทําให้รากพืชที่แตกใหม่เน่าตาย
(6) ยับยั้งกิจกรรมของจุลินทรีย์ที่ช่วยย่อยอินทรียวัตถุ
(7) สิ่งก่อสร้างต่างๆ และอุปกรณ์การเกษตร เกิดการกัดกร่อน ชํารุดเสียหาย
และมีอายุการใช้งานสั้นลง
1.3) ดินอินทรีย์ (Organic Soil) หมายถึง ดินที่มีวัสดุอินทรีย์หรือเศษซากพืชจาก
ใบไม้ รากไม้และกิ่งไม้สะสมกันมากเป็นชั้นหนาเท่ากับหรือมากกว่า 40 เซนติเมตร ภายในความลึก
80 เซนติเมตรจากผิวดิน รองรับด้วยชั้นดินที่เป็นดินเลนเละของตะกอนนํ้าทะเลที่มีศักยภาพก่อให้เกิด
เป็นดินกรดกํามะถันหรือดินเปรี้ยวจัด พบมากในพื้นที่ลุ่มนํ้าขังนานเกือบตลอดปีหรือพื้นที่พรุตาม
ชายฝั่งทะเล สําหรับปัญหาดินอินทรีย์ ได้แก่
(1) จํากัดชนิดพืชที่ปลูก เนื่องจากวัสดุอินทรีย์เกาะตัวกันอย่างหลวมในสภาพ
นํ้าแช่ขังนานเกือบตลอดปี
(2) มีเศษกิ่งไม้ ตอไม้และรากไม้อยู่ใต้ดินมาก ทําให้เป็นอุปสรรคต่อการใช้
ที่ดินเพื่อปลูกพืช
(3) การเตรียมพื้นที่เพาะปลูกทําได้ยากลําบาก ไม่สามารถใช้เครื่องจักรกลหรือ
เครื่องทุ่นแรงได้ ต้องใช้แรงงานจากคนเท่านั้น
(4) วัสดุอินทรีย์เมื่อแห้งจะยุบตัวมาก ทําให้รากพืชโผล่มาอยู่บนผิวดิน พืชที่ปลูก
จะเอียงและล้มง่าย
(5) วัสดุอินทรีย์เมื่อแห้งจะติดไฟง่ายและดับยาก สูญเสียความสามารถในการอุ้มนํ้า
และดูดซับธาตุอาหารพืช
(6) ดินและนํ้าเป็นกรดรุนแรงมากถึงเป็นกรดจัดมากทําให้ไม่เหมาะสมสําหรับ
ใช้ทําการเกษตรกรรมและใช้อุปโภคบริโภค
(7) เกิดความไม่สมดุลของธาตุอาหาร ทําให้พืชแสดงอาการขาดธาตุไนโตรเจน
ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แคลเซียม สังกะสี ทองแดง โบรอน โมลิบดินัม แมกนีเซียมและแมงกานีส
(8) เกิดความเป็นพิษของเหล็กและอะลูมิเนียม