Page 57 - หลักการจัดระบบอนุรักษ์ดินและน้ำในเขตพัฒนาที่ดิน
P. 57
52
น้ําที่เปนประโยชนตอพืชมากที่สุด คือน้ําที่อยูในบริเวณรอบๆ รากพืช (Root zone) ซึ่งถูกดูดซึม
เขาทางรากขนออน (Hair roots) โดยอาศัยแรงดันออสโมติค (Osmotic pressure) ของเซลลราก พืชจะมีการ
หมุนเวียนน้ําที่ดูดผานทางรากสูลําตน แลวคายออกทางใบตลอดเวลา อัตราการคายน้ําสูงขึ้นเมื่อมีอุณหภูมิ
อากาศแหงแลงและลมพัดแรง พืชจะแสดงความเหี่ยวเฉาก็ตอเมื่ออัตราการคายน้ําสูงกวาอัตราการดูดน้ํา และ
พืชจะเหี่ยวเฉาอยางถาวร (Permanent wilting) เมื่อรากหมดความสามารถที่จะดูดน้ําขึ้นมาจากดิน นั่นก็
หมายความวาความชื้นในดินอยูในสภาวะวิกฤตตอการเจริญเติบโตของพืช พืชใบกวางบางชนิด เชน
ขาวโพด ผักกาด เกิดการเหี่ยวเฉาทั้งๆ ที่ดินยังมีความชื้นเหลืออยู ตามปกติในเวลากลางวันที่อากาศรอน
พบวาการคายน้ําของพืชมีอัตราสูงกวาการดูดน้ํา แตละกลับตรงกันขามกันในเวลากลางคืน การคายน้ําของ
พืชจะตองใชความรอนจํานวน 540 แคลอรี ในการเปลี่ยนสภาพของน้ําจากของเหลวจํานวน 1 ซีซี ให
กลายเปนไอความรอนดังกลาวนี้ สวนหนึ่งมาจากพื้นดินที่รับเอาความรอนจากดวงอาทิตยโดยตรง ในกรณี
พื้นดินที่มีพืชขึ้นปกคลุมไดแนนหนาและทั่วถึงกัน ความรอนที่ไดรับจากดวงอาทิตยจะลดนอยลงมากจน
แทบจะไมเกิดการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิในดินบน (Top soil) ความชื้นในดินที่มีอยูจึงไดรับการสงวนไว และ
ไมสูญเสียไปโดยกระบวนการระเหยน้ําจากผิวดิน (Evaporation) หรือมีการสูญเสียนอยมาก จึงทําใหอัตรา
รวมของการระเหยน้ําและคายน้ํา (Evapotranspiration) ลดลงไปสวนหนึ่ง
การระเหยของน้ําในดินโดยความรอนที่มีอยู 3 ทาง คือ ดิน อากาศ และตนพืช จะเห็นไดวา
ความชื้นในดิน (Soil moisture) ซึ่งเปนความชื้นที่เปนประโยชนตอพืชจะระเหยออกไปจากดินไดมากนอย
แคไหน และคงอยูในดินไดนานเทาใด ขึ้นอยูกับสิ่งคลุมดิน (Mulching material) ไดแก พืช เศษซากพืช และ
วัตถุอื่นๆจะสามารถคลุมดินไดดีเพียงไร
ระดับน้ําในดิน (Ground – water level หรือ Water table) มีอิทธิพลตอการเจริญเติบโตของพืช ดิน
ที่มีระดับน้ําใตดินอยูตื้น รากพืชจะหยั่งลงในดินไดเพียงระดับของน้ําใตดินเทานั้น การดึงดูดน้ําของรากพืช
ในแถบกึ่งรอนและชุมชื้น พืชดูดน้ําไดมากใกลบริเวณผิวดิน และคอยๆ นอยลงตามระดับความลึกของราก
สังเกตไดเสมอวาในแถบรอนและชุมชื้น รากพืชมีปริมาณมากบริเวณใกลผิวดิน ซึ่งสามารถดูดความชื้นใน
บริเวณนี้ไดอยางพอ ขณะเดียวกับแถบรอนและแหงแลง รากพืชดูดน้ําในบริเวณใกลผิวดินนอยกวาบริเวณที่
อยูลึกลงไป ทั้งนี้เพราะความชื้นที่อยูใกลผิวดินถูกระเหย (Evaporate) ไปในอากาศอยางรวดเร็วและปริมาณ
มากรากพืชดูดซึมไวไมทัน จึงตองดูดเอาความชื้นที่อยูสวนลึกลงไปซึ่งระเหยจากดินชากวา ดังนั้น ในฤดูแลง
พืชที่มีระบบรากตื้น มักจะเหี่ยวเฉาตายและแหงตายเร็วกวา พืชที่มีระบบรากลึกสามารถดูดน้ําจากสวนลึก
ของดินไดดีและมีสีเขียวตลอดป โดยทั่วไปแลวน้ําที่พืชดูดเขาไปใชในการเจริญเติบโตมาจาก 4 แหลง
ดวยกันคือ
(1) ความชื้นที่ยังมีอยูในดินตามชองวางระหวางเม็ดดิน ความชื้นดังกลาวถามีปริมาณมากพอ
พืชก็สามารถนําไปใชได บางพื้นที่อาจจะไดรับเพิ่มเติมจากฝนที่ตกนอกฤดูกาลดวย อยางไรก็ตาม น้ําจาก
แหลงนี้พืชดูดเอาไปใชไดไมมากนัก โดยเฉพาะพืชที่มีรากตื้น เพราะดินชั้นบนจะมีการสูญเสียน้ําโดยการ
ระเหยจากผิวดินไปไดมากกวาดินชั้นลาง