Page 41 - แนวทางการส่งเสริมการเกษตรที่เหมาะสมตามฐานข้อมูลแผนที่เกษตรเชิงรุก Agri-Map จังหวัดสระบุรี
P. 41

ห้องสมุดกรมพัฒนาที่ดิน

                                                               34







                       ดอกแบบช่อ ออกที่ปลายยอด สีขาวแต้มชมพู เป็นพืชที่มีสรรพคุณเป็นยาสมุนไพร สารสกัดจาก
                       กระชายดำมีฤทธิ์ต้านเชื้อมาลาเรีย เชื้อรา และไมโครแบคทีเรีย ต้านการเกิดโรคภูมิแพ้ และต้าน

                       การเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ในสัตว์ทดลอง พบว่า มีฤทธิ์ขยายหลอดเลือดแดงที่ถูกแยกออกจาก
                       กายของหนูขาว และสร้างไนตริกออกไซค์ (NO) บริเวณเยื่อบุหลอดเลือดดำของรกเด็ก กระชายดำ

                       แตกต่างจากกระชายทั่วไป (ที่ใช้เป็นเครื่องแกง) คือ กระชายทั่วไปใช้ส่วนที่เป็นราก (tuber) ซึ่งงอก

                       ออกมาจากเหง้า (ลำต้นที่อยู่ใต้ดิน) มีกาบใบและใบซ้อนโผล่ขึ้นอยู่เหนือดิน ส่วนกระชายดำมีลำต้น
                       อยู่ใต้ดิน (rhizome) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าหัว ลักษณะคล้ายขิง หรือขมิ้นแต่มีขนาดเล็กกว่า ใบใหญ่

                       และมีสีเขียวเข้มกว่ากระชายทั่วไป ขนาดใบกว้างประมาณ 7 - 15 เซนติเมตร ยาว 30 - 35 เซนติเมตร
                       ใบมีกลิ่นหอม ประกอบด้วยกาบใบมีสีแดงจาง ๆ และหนาอวบ กำเนิดมาจากหัวที่อยู่ใต้ดิน ลำต้นมีความ

                       สูงประมาณ 30 เซนติเมตร ดอกออกจากยอด ช่อละหนึ่งดอก มีใบเลี้ยง ดอกมีสีชมพูอ่อน ๆ ริมปาก

                       ดอกสีขาว เส้าเกสรสีม่วง เกสรสีเหลือง กลีบรองกลีบดอกเชื่อมติดกันมีลักษณะเป็นรูปท่อ มีขน โคน
                       เชื่อมติดกันเป็นช่อยาว เกสรตัวผู้จะเหมือนกับกลีบดอก อับเรณูอยู่ใกล้ปลายท่อ เกสรตัวเมียมี

                       ขนาดยาวเล็ก ยอดเกสรเป็นรูปปากแตรเกลี้ยงไม่มีขน หัวมีสีเข้มแตกต่างกัน ตั้งแต่สีม่วงจาง ม่วง

                       เข้ม และดำสนิท (ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า ความแตกต่างของสีขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม อายุ หรือพันธุกรรม)
                       สีของหัวเมื่อนำไปดองสุราจะถูกฟอกออกมา


                                 พันธุ์ในปัจจุบันยังไม่มีการรวบรวมและจำแนกพันธุ์อย่างเป็นทางการ แต่หากจำแนกตาม
                       ลักษณะของสีของเนื้อหัว พอจะแยกได้ 3 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์ที่มีเนื้อหัวสีดำ สีม่วงเข้ม สีม่วงอ่อน

                       หรือสีน้ำตาล ส่วนใหญ่แล้ว จะพบกระชายที่มีสีม่วงเข้มและสีม่วงอ่อน ส่วนกระชายที่มีสีดำสนิทจะมี
                       ลักษณะหัวค่อนข้างเล็ก ชาวเขาเรียกว่า กระชายลิง ซึ่งมีไม่มากนักจัดว่าเป็นกระชายที่มีคุณภาพเป็นที่

                       ต้องการของตลาด ในประเทศไทยที่มีชื่อเสียงอยู่ที่จังหวัดเลย นอกจากนั้นยังเชื่อว่าเป็นยาบำรุงกำลัง

                       นักรบสมัยก่อนจะนำหัวไปปลุกเสกแล้วอมเวลาต่อสู้ เชื่อว่าทำให้คงกระพัน การปลูกกระชายดำ
                       กระชายดำสามารถขยายพันธุ์โดยใช้แง่งหรือเหง้าซึ่งเป็นส่วนของลำต้นใต้ดิน โดยทั่ว ๆ ไปจะใช้ส่วน

                       ของเหง้าเป็นท่อนพันธุ์ในการปลูก กระชายดำชอบดินร่วนซุย ไม่ชอบน้ำขังหรือดินที่มีการระบายน้ำ
                       ไม่ดีเนื่องจากจะเน่าเสียโดยเฉพาะดิน ที่มีสภาพเป็นกรด เมื่อมีฝนชุกหรือความชื้นในดินสูง จะทำให้

                       เกิดโรคเหง้าเน่า สามารถปลูกกลางแจ้งจนถึงมีแสงแดดพอควร ส่วนต้นเหนือดินมักจะยุบหรือแห้ง

                       เมื่อเข้าฤดูแล้ง ส่วนใหญ่จะเก็บเหง้าแก่เมื่ออายุ 10 - 11 เดือนหลังปลูก สีของกระชายดำถึงจะเข้ม
                       เต็มที่ การปลูกกระชายดำจะเริ่มเตรียมดินในช่วงต้นเดือนมีนาคม และจะปลูกต้นเมษายนของทุก ๆ ปี

                       สำหรับการปลูกในแปลงใหญ่ และกลางแจ้ง ส่วนเหง้าที่นำมาปลูกนั้นผู้ควรทำการแบ่งเหง้าให้เป็นหัว

                       เล็ก ๆ มีตาที่จะปลูก 2 - 3 ตาเพื่อการงอกที่มีคุณภาพ ทั้งนี้เมื่อเริ่มมีฝน หรือพายุฤดูร้อนก็สามารถทำ
                       การปลูกได้  โดยจังหวัดสระบุรีมีพื้นที่ศักยภาพในการปลูกกระชายดำที่ระดับความเหมาะสมปาน

                       กลาง (S2) ประมาณ 138,228 ไร่ กระจายอยู่ใน 7 อำเภอ ได้แก่ อำเภอแก่งคอย 82,171 ไร่  อำเภอ
   36   37   38   39   40   41   42   43   44   45   46