Page 12 - ผลของถ่านชีวภาพต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์บนพื้นที่ลาดเทในกลุ่มชุดดินที่ 55 จังหวัดน่าน Effect of Biochar on the Growth and Yield of Maize on sloping Land in Soil Series Group No.55, Nan Province.
P. 12
ห้องสมุดกรมพัฒนาที่ดิน
โดยประเมินคุณภาพดินและการใช้ถ่านชีวภาพ (ไบโอชาร์) เพื่อเพิ่มคาร์บอนในดินและเพิ่มผลผลิตพืชผักอินทรีย์ใน
พื้นที่ดินกรด พบว่า การใส่ถ่านชีวภาพในอัตราส่วนที่แตกต่างกันทำให้คุณสมบัติทางเคมีของดินมีค่าแตกต่างกันอย่าง
มีนัยสำคัญทางสถิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าความเป็นกรดเป็นด่าง มีค่าสูงขึ้นเมื่ออัตราส่วนการใส่ถ่านชีวภาพเพิ่มขึ้น
และสอดคล้องกับการศึกษาของ เกศศิรินทร์ และคณะ (2557) ซึ่งศึกษาอัตราส่วนที่เหมาะสมของถ่านชีวภาพต่อ
สมบัติทางเคมีของดินปลูก รวมถึงการเจริญเติบโตและผลผลิตของผักสลัดคอส พบว่า การใส่ถ่านชีวภาพในอัตราส่วน
ที่แตกต่างกันทำให้สมบัติทางเคมีของดินปลูกมีค่าแตกต่างกันอน่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าความ
เป็นกรดเป็นด่าง โดยมีค่าสูงขึ้นเมื่ออัตราการใส่ถ่านชีวภาพเพิ่มขึ้น ซึ่งอธิบายได้ว่า เนื่องจากบริเวณพื้นผิวถ่าน
+
ชีวภาพจะมีประจุลบของหมู่ฟีนอลิก หมู่ไฮดรอซิล และหมู่คาร์บอนิล ซึ่งจะทำหน้าที่จับไฮโดรเจนไอออน (H ) ที่
ละลายอยู่ในดิน นอกจากนี้ ซิลิเกตคาร์บอเนต และไบคาร์บอเนตที่ปรากฏอยู่ในถ่านชีวภาพยังช่วยในการจับ
ไฮโดรเจนไอออนอีกทางหนึ่ง ทำให้ไฮโดรเจนไอออนที่ละลายอยู่มในดินมีปริมาณลดลงส่งผลให้ดินมีความเป็นกรด
ลดลง (pH เพิ่มขึ้น) (Brewer and Brown, 2012) และ (Chintala et al., 2014)
ตารางที่ 4 ปฏิกิริยาความเป็นกรดเป็นด่างของดิน (pH) ในฤดูปลูกที่ 1 และ 2
ตำรับการทดลอง ค่า pH (1:1)
ก่อนการทดลอง 5.0
หลังการทดลอง ฤดูปลูกที่ 1 ฤดูปลูกที่ 2
1. แปลงควบคุม 5.1 5.2 b
2. ถ่านชีวภาพ อัตรา 500 กิโลกรัมต่อไร่ 5.4 5.4 a
3. ถ่านชีวภาพ อัตรา 1,000 กิโลกรัมต่อไร่ 5.2 5.3 ab
4. ถ่านชีวภาพ อัตรา 2,000 กิโลกรัมต่อไร่ 5.3 5.3 ab
5. ปุ๋ยหมัก อัตรา 500 กิโลกรัมต่อไร่ 5.1 5.2 b
6. ปุ๋ยหมัก อัตรา 1,000 กิโลกรัมต่อไร่ 5.4 5.4 a
ค่าเฉลี่ย 5.2 5.3
p<0.05 ns *
CV (%) 2.34 1.98
หมายเหตุ: * หมายถึงมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่น 95% โดยวิธี LSD
ns หมายถึง ไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ
3.2.2 ปริมาณอินทรียวัตถุ (เปอร์เซ็นต์) ในฤดูปลูกที่ 1 และ 2
ก่อนดำเนินการทดลองปริมาณอินทรียวัตถุในดินมีเพียง 2.31 เปอร์เซ็นต์ และหลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิต
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูปลูกที่ 1 พบว่า ทุกตำรับการทดลองปริมาณอินทรียวัตถุในดิน มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น
แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยตำรับการทดลองที่มีการใส่ถ่านชีวภาพ อัตรา 1,000 และ 2,000 กิโลกรัม
ต่อไร่ มีปริมาณอินทรียวัตถุในดินสูงที่สุดเท่ากับ 2.81 เปอร์เซ็นต์และแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ และมากกว่าตำรับ
การทดลองอื่น ๆ และปริมาณอินทรียวัตถุจัดอยู่ในระดับค่อนข้างสูง รองลงมา ได้แก่ การใช้ถ่านชีวภาพ อัตรา 500
กิโลกรัมต่อไร่ ใช้ปุ๋ยหมัก อัตรา 1,000 และ 500 กิโลกรัมต่อไร่ ซึ่งมีปริมาณอินทรียวัตถุในดินเท่ากับ 2.71 2.69
และ 2.55 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ซึ่งจัดอยู่ในระดับค่อนข้างสูงเช่นเดียวกัน ส่วนแปลงควบคุมมีปริมาณอินทรียวัตถุใน
ดินต่ำสุดเท่ากับ 2.31 เปอร์เซ็นต์ หลังสิ้นสุดการทดลองในฤดูปลูกที่ 2 พบว่า ทุกตำรับการทดลองปริมาณ
อินทรียวัตถุในดินมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นและอยู่ในระดับค่อนข้างสูง โดยตำรับการทดลองที่มีการใช้ถ่านชีวภาพ
อัตรา 2,000 กิโลกรัมต่อไร่ มีปริมาณอินทรียวัตถุในดินสูงที่สุดและอยู่ในระดับค่อนข้างสูงเท่ากับ 2.99 เปอร์เซ็นต์
แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญกับตำรับการทดลองอื่น ๆ รองลงมาได้แก่ การใช้ถ่านชีวภาพ อัตรา 1,000 และ 500