Page 16 - ผลของถ่านชีวภาพต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์บนพื้นที่ลาดเทในกลุ่มชุดดินที่ 55 จังหวัดน่าน Effect of Biochar on the Growth and Yield of Maize on sloping Land in Soil Series Group No.55, Nan Province.
P. 16
ห้องสมุดกรมพัฒนาที่ดิน
ถึงต่ำ และแตกต่างทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญในทุกตำรับการทดลอง โดยตำรับการทดลองที่มีการใช้ถ่านชีวภาพ อัตรา
2,000 กิโลกรัมต่อไร่ มีปริมาณแคลเซียมที่เป็นประโยชน์ในดินสูงที่สุดเท่ากับ 448.3 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม รองลงมา
ได้แก่ การใช้ปุ๋ยหมัก อัตรา 1,000 กิโลกรัมต่อไร่ และการใช้ถ่านชีวภาพ อัตรา 1,000 กิโลกรัมต่อไร่ และการใช้ถ่าน
ชีวภาพ อัตรา 500 กิโลกรัมต่อไร่ และการใช้ปุ๋ยหมัก อัตรา 500 กิโลกรัมต่อไร่ มีปริมาณแคลเซียมที่เป็นประโยชน์
ในดินเท่ากับ 380.3 352.3 338.0 และ 352.3 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ตามลำดับ ส่วนแปลงควบคุม มีปริมาณ
แคลเซียมที่เป็นประโยชน์ในดินต่ำที่สุดเท่ากับ 270 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ซึ่งพบว่าทั้ง 2 ฤดูปลูก มีแนวโน้มไปใน
ทิศทางเดียวกัน กล่าวคือ การใส่ถ่านชีวภาพทุกอัตราช่วยเพิ่มปริมาณแคลเซียมที่เป็นประโยชน์ในดิน เนื่องจากถ่าน
ชีวภาพมีองค์ประกอบของแคลเซียมที่สูง (Masto et al., 2013) นอกจากนี้ การใส่ถ่านชีวภาพจะช่วยเพิ่มปริมาณ
ความสามารถในการแลกเปลี่ยนแคตไอออนในดิน (Brady and Weil, 2008; Liang et al., 2006) และคุณสมบัติขอ
ถ่านชีวภาพซึ่งมีความพรุนรวมสูง จะช่วยดูดซับธาตุอาหารได้ดี ซึ่งสอดคล้องกับการทดลองการใส่ถ่านชีวภาพร่วมกับ
การให้ปุ๋ยเคมีในการปลูกข้าไร่ มีผลทำให้ดินที่ระดับความลึก 0-15 เซนติเมตร ที่ระยะเก็บเกี่ยวผลผลิตมีปริมาณ
แคลเซียมที่เป็นประโยชน์ในดินสูงกว่าการใช้ปู่ยเคมีเพียงอย่างเดียว (จิตนิภา, 2558) และการทดลองประเมิน
คุณภาพดินและการใช้ถ่านชีวภาพ (ไบโอชาร์) เพื่อเพิ่มคาร์บอนในดินและเพิ่มผลผลิตพืชผักอินทรีย์ในพื้นที่ดินกรด
พบว่า การใช้ถ่านชีวภาพในอัตราที่แตกต่างกันทำให้ปริมาณแคลเซียมที่เป็นประโยชน์ในดินเพิ่มขึ้น (บรรเจิดลักษณ์
และรติกร, 2560)
ตารางที่ 8 ปริมาณแคลเซียมที่เป็นประโยชน์ในดิน (มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม) ในฤดูปลูกที่ 1 และ 2
ตำรับการทดลอง ปริมาณแคลเซียมที่เป็นประโยชน์ในดิน (มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม)
ก่อนการทดลอง 213
หลังการทดลอง ฤดูปลูกที่ 1 ฤดูปลูกที่ 2
1. แปลงควบคุม 243.7 b 270.0 d
2. ถ่านชีวภาพ อัตรา 500 กิโลกรัมต่อไร่ 330.0 ab 352.3 bcd
3. ถ่านชีวภาพ อัตรา 1,000 กิโลกรัมต่อไร่ 395.3 a 380.3 abc
4. ถ่านชีวภาพ อัตรา 2,000 กิโลกรัมต่อไร่ 434.7 a 448.3 a
5. ปุ๋ยหมัก อัตรา 500 กิโลกรัมต่อไร่ 341.7 ab 338.0 cd
6. ปุ๋ยหมัก อัตรา 1,000 กิโลกรัมต่อไร่ 426.7 a 434.0 ab
ค่าเฉลี่ย 362.0 370.5
p<0.05 * *
CV (%) 16.71 13.15
หมายเหตุ: * หมายถึงมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่น 95% โดยวิธี LSD
3.2.6 ปริมาณแมกนีเซียมที่เป็นประโยชน์ในดิน (มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม) ในฤดูปลูกที่ 1 และ 2
ก่อนดำเนินการทดลองปริมาณแมกนีเซียมที่เป็นประโยชน์ในดิน มีเพียง 107 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ซึ่งอยู่ใน
ระดับต่ำ หลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในฤดูปลูกที่ 1 พบว่า ปริมาณแมกนีเซียมที่เป็นประโยชน์ในดินมี
การเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นทุกตำรับการทดลองและอยู่ในระดับปานกลาง (ตารางที่ 9) โดยตำรับการทดลองที่มีการใช้
ปุ๋ยหมัก อัตรา 1,000 กิโลกรัมต่อไร่ มีปริมาณแมกนีเซียมที่เป็นประโยชน์ในดินสูงที่สุดเท่ากับ 181.7 มิลลิกรัมต่อ
กิโลกรัม ไม่แตกต่างทางสถิติกับการใช้ถ่านชีวภาพ อัตรา 2,000 กิโลกรัมต่อไร่ ซึ่งมีปริมาณแมกนีเซียมที่เป็น
ประโยชน์ในดินเท่ากับ 178.7 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ส่วนการใช้ถ่านชีวภาพ อัตรา 1,000 กิโลกรัมต่อไร่ และใช้ถ่าน
ชีวภาพ อัตรา 500 กิโลกรัมต่อไร่ และปุ๋ยหมัก อัตรา 500 กิโลกรัมต่อไร่ มีปริมาณแมกนีเซียมที่เป็นประโยชน์ในดิน
เท่ากับ 161.1 146.1 และ 143.5 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ตามลำดับ ส่วนแปลงควบคุม มีปริมาณแมกนีเซียมที่เป็น