Page 13 - ผลการใช้ปุ๋ยชีวภาพและลดอัตราปุ๋ยเคมีต่อการเพิ่มผลผลิตของปาล์มนํ้ามันในพื้นที่ดินเปรี้ยวจัด จังหวัดพัทลุง
P. 13
ห้องสมุดกรมพัฒนาที่ดิน
9
การปลูกปาล์มน้้ามันเพื่อให้ได้ปริมาณและคุณภาพผลผลิตสูงนั้น นอกจากการจัดการดินและน้้า
เหมาะสมแล้ว การจัดการพืชก็เป็นสิ่งที่จ้าเป็น ตั้งแต่การเลือกกล้า การปลูก ระยะปลูกและการจัดการดูแล
รักษาอย่างต่อเนื่อง เช่นการเลือกต้นสมบูรณ์แข็งแรง มีความสูงประมาณ 100-150 ซม.จากระดับดินในถุง
และมีใบประกอบรูปขนนก อย่างน้อย 9 ใบส้าหรับช่วงฤดูการปลูกปาล์มน้้ามันที่เหมาะสมคือปลูกในช่วงฤดู
ฝน หลังปลูกแล้วควรมีฝนตกอย่างน้อยประมาณ 3 เดือนไม่ควรปลูกช่วงปลายฤดูฝนต่อเนื่องฤดูแล้งจะพบ
ปัญหาแล้ง ขาดน้้า กล้าไม่เจริญเติบโตเท่าที่ควร
การวางแนวปลูกและเตรียมหลุมปลูก เมื่อเตรียมพื้นที่ปลูกแล้ว ให้วางแนวปลูกให้สอดคล้องกับความ
ลาดเทของพื้นที่และการระบายน้้า เตรียมหลุมปลูกรูปตัวยู ขาด กว้างxยาวxลึก 45x45x35 ซม.โดยใช้ระยะ
ปลูกที่เหมาะสม คือระยะระหว่างต้น 9 เมตร โดยปลูกเป็นรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า ให้แถวปลูกหลักในแนว
เหนือ-ใต้ เพื่อให้ปาล์มน้้ามันทุกต้นได้รับแสงแดดมากที่สุด และสม่้าเสมอเพื่อการสังเคราะห์แสงของปาล์ม
จ้านวนต้นต่อไร่ 22 ต้น การปลูกถี่หรือห่างเกินไป มีผลกระทบต่อผลผลิต ผลผลิตลดลง
การปลูก หลังจากเตรียมหลุมปลูกเรียบร้อยแล้ว ตากดินไว้ประมาณ 10 วัน ใส่ปุ๋ยหินฟอสเฟตรองก้น
หลุมอัตรา 250 กรัมต่อหลุม น้ากล้าปาล์มน้้ามันมาปลูกแล้วกลบดินให้แน่น โคนต้นกล้าต้องอยู่ในระดับ
เดียวกับดินเดิมของแปลงปลูก หลังจากปลูกแล้ว 1-2เดือนควรตรวจสอบความอยู่รอดแล้วปลูกซ่อมทันทีถ้ามี
กล้าตาย หลังจากปลูกแล้วประมาณ 6-8 เดือนให้ตรวจสอบต้นปาล์มที่มีลักษณะผิดปกติแล้วท้าการปลูกซ่อม
ทันทีและดูแลต่อเนื่อง
การให้ปุ๋ย ปาล์มน้้ามันเป็นพืชที่ต้องการธาตุอาหารสูง ดังนั้นจ้าเป็นต้องประเมินความต้องการธาตุ
อาหารของปาล์มน้้ามันก่อน เพื่อจะได้ใส่ปุ๋ยชนิดและอัตราที่เหมาะสม เป็นการลดต้นทุนการผลิต วิธีการ
ประเมินความต้องการธาตุอาหารของปาล์มน้้ามัน มี 2 วิธี คือพิจารณาจากลักษณะอาการที่มองเห็นที่ต้น
ปาล์มที่แสดงอาการขาดธาตุอาหาร และจากการวิเคราะห์ใบปาล์มน้้ามัน ซึ่งเป็นวิธีที่นิยมและแพร่หลายใน
ปัจจุบัน
จากการวิเคราะห์ปริมาณการดูดใช้ธาตุอาหารของปาล์มน้้ามันที่อายุต่างๆตั้งแต่ปีที่ 1-10 และปีที่
20 พบว่าปาล์มน้้ามันมีการดูดใช้ธาตุอาหารโพแทสเซียมมากที่สุด รองลงมาคือไนโตรเจน ส้าหรับฟอสฟอรัส
และแมกนีเซียมต้องการไม่มากนัก และพบว่าปริมาณธาตุอาหารไนโตรเจนจะเหลือตกค้างอยู่ในล้าต้น (ส่วน
เหนือดิน) เป็นส่วนใหญ่ ส่วนโพแทสเซียมจะติดไปกลับผลผลิตปาล์มน้้ามัน โดยเฉลี่ย ปริมาณธาตุอาหารที่ติด
ไปกับผลปาล์มน้้ามัน 1 ตันของทะลายสด คือ ไนโตรเจน 2.94 กิโลกรัม ฟอสฟอรัส 0.44 กิโลกรัม
โพแทสเซียม 3.71 กิโลกรัม แมกนีเซียม 0.77 กิโลกรัม แคลเซียม 0.81 กิโลกรัม และโบรอน 2.51
กิโลกรัม ในขณะที่ปริมาณธาตุอาหารที่สะสมอยู่ในส่วนเหนือดินของปาล์มน้้ามันที่อายุ 20 ปี มีไนโตรเจน
3.24 กิโลกรัมต่อต้น ฟอสฟอรัส 0.47 กิโลกรัมต่อต้น โพแทสเซียม 1.51 กิโลกรัมต่อต้น แมกนีเซียม 1.79
กิโลกรัมต่อต้น แคลเซียม 0.81 กิโลกรัมต่อต้น ดังนั้นถ้าเก็บผลผลิตปาล์มน้้ามันได้มากแสดงว่ามีธาตุอาหาร
สูญเสียไปจากดินมาก จ้าเป็นต้องเพิ่มธาตุอาหารลงดินให้เพียงพอต่อความต้องการของปาล์มน้้ามัน (ยงยุทธ,
2547 และเกริกชัย, 2547)
ธาตุอาหารที่จ าเป็นส าหรับปาล์มน ามัน
ธาตุไนโตรเจน มีหน้าที่ส้าคัญในกระบวนการเมทาโบลิซึมของพืชเนื่องจาก เป็นส่วนประกอบที่ส้าคัญ
ของกรดอะมิโน,โปรตีน,คลอโรฟิลล์และเอนไซม์บางชนิด เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาของเซลล์และเนื้อเยื่อ
ที่มีชีวิต ท้าให้พืชมีสีเขียวและมีความแข็งแรง
ธาตุฟอสฟอรัส เป็นส่วนประกอบของกรดนิวคลีอิคและนิวคลีโอโปรตีนซึ่งมีความส้าคัญต่อยีนต์,การ
แบ่งเซลล์และการสร้างเซลล์ในพืช เป็นตัวถ่ายทอดพลังงานระหว่างสารต่อสารในระบบต่างๆเช่น การ