Page 13 - ผลของปุ๋ยชีวภาพ (พด.12) ร่วมกับมูลไก่ต่อผลผลิตและคุณภาพแตงโมหลังนาข้าว Effect of Bio-Fertilizer (LDD.12) and chicken manure to yield and quality of watermelon planted after rice.
P. 13
ห้องสมุดกรมพัฒนาที่ดิน
ร่วมกับปุ๋ยเคมีที่เหมาะสมเพื่อการปลูกข้าวโพดหวานอย่างยั่งยืน คือ อัตราส่วน 75 ต่อ 25 เปอร์เซ็นต์ ส่งเสริมการ
เจริญเติบโต ไม่ส่งผลกระทบต่อผลผลิต และให้ผลตอบแทนต่อไร่เทียบเท่ากับการใส่ปุ๋ยเคมีเพียงอย่างเดียว
5. น้ าหมักชีวภาพสมุนไพร (พด.7) โดยใช้สารเร่งซุปเปอร์ พด.7 ซึ่งเป็นเชื้อจุลินทรีย์ที่มีคุณสมบัติในการเพิ่ม
ประสิทธิภาพการหมักและย่อยสลายพืชสมุนไพรชนิดต่าง ๆ ในสภาพที่ไม่มีออกซิเจน ประกอบด้วย
จุลินทรีย์ 3 สายพันธุ์ คือ ยีสต์ผลิตแอลกอฮอล์และกรดอินทรีย์ แบคทีเรียผลิตเอนไซม์เซลลูโลสย่อยสลาย
สารประกอบเซลลูโลส และแบคทีเรียผลิตกรดแลคติก น้ าหมักชีวภาพสมุนไพรเป็นของเหลวสีน้ าตาลใส อัตราการใช้
ในพืชผัก โดยเจือจางน้ าหมักชีวภาพสมุนไพรกับน้ า 1:500 อัตรา 50 ลิตร/ไร่/ครั้ง ฉีดพ่นทุก 20 วัน ใช้ประโยชน์ใน
การป้องกันแมลงศัตรูพืช (กรมพัฒนาที่ดิน, 2549) โดย นภา และคณะ (2550) พบว่า การใช้ผลิตภัณฑ์หางไหลสูตร
1 (หางไหล+หนอนตายหยาก) มีแนวโน้มก าจัดด้วงหมัดได้ถึง 56.62 เปอร์เซ็นต์ และเมื่อศึกษาประสิทธิภาพ
ผลิตภัณฑ์หางไหลสูตร 2 (หางไหล+ดีปลี+ตะไคร้หอม) ในการควบคุมศัตรูถั่วฝักยาว มีผลให้ถั่วฝักยาวมีผลผลิตสูงสุด
2,507 กิโลกรัม นอกจากนี้ยังพบว่าการใช้ผลิตภัณฑ์หางไหลสูตรต่างๆ (3 สูตร คือ สูตร 1 : หางไหล+หนอนตาย
หยาก สูตร 2 : หางไหล+ดีปลี+ตะไคร้หอม สูตร 3 : หางไหล+หนอนตายหยาก+ตะไคร้หอม)ให้ผลผลิตถั่วฝักยาวสูง
กว่าการใช้สารเคมีควบคุมศัตรูพืช ในท านองเดียวกัน พรพนา และคณะ (2554) พบว่า การฉีดพ่นสารป้องกันแมลง
ศัตรูพืชที่ผลิตจากหนอนตายหยาก ให้ผลผลิตมะเขือเทศสูงสุด 1,356 กิโลกรัม/ไร่ นอกจากนี้พบว่า การใช้สาร
ป้องกันแมลงศัตรูพืชที่หมักจากสมุนไพรร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์น้ า ช่วยให้ผลผลิตมะเขือเทศเพิ่มขึ้น ส่วนงานทดลองของ
นุกูล และ อภิพรรณ (2546) พบว่า การฉีดพ่นด้วยสารสกัดจากสะเดา (Neem) สามารถควบคุมแมลงศัตรูถั่วเหลือง
ได้ในระดับหนึ่ง
6. ผลของปุ๋ยอินทรีย์ต่อสมบัติทางเคมีของดิน การใส่ปุ๋ยอินทรีย์ช่วยเพิ่มความต้านทานการเปลี่ยนแปลงความเป็น
กรด-ด่างของดิน (Buffer capacity) ท าให้การเปลี่ยนแปลงไม่รวดเร็วจนเป็นอันตรายต่อพืช นอกจากนี้แล้วปุ๋ย
อินทรีย์มักมีผลต่อสมบัติทางเคมีดิน ในลักษณะเอื้ออ านวยและส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืชให้ดีขึ้น นอกจากนี้แล้ว
ปุ๋ยอินทรีย์ยังเป็นวัสดุที่มีความสามารถในการแลกเปลี่ยนประจุบวก (CEC) ค่อนข้างสูง ช่วยให้ปุ๋ยเคมีที่อยู่ในรูป
ประจุบวกบางชนิดถูกดูดยึด ไม่ให้สูญเสียไป และพืชสามารถน าไปใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของ
ปุ๋ยเคมี และความเป็นประโยชน์ของธาตุอาหารมากขึ้น (คณาจารย์ภาควิชาปฐพีวิทยา, 2544; ส านัก
เทคโนโลยีชีวภาพทางดิน, 2551)
ระยะเวลาและสถานที่ด าเนินการ
ระยะเวลาด าเนินการ
- เริ่มต้น เดือน ตุลาคม 2561 สิ้นสุด เดือน สิงหาคม 2563
สถานที่ด าเนินการ
- บ้านเอ้ หมู่ 6 ต าบลก่อเอ้ อ าเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี
- วิเคราะห์ตัวอย่างดินและตัวอย่างปุ๋ยอินทรีย์ในโครงการวิจัย ณ กลุ่มวิเคราะห์ดิน ต าบลสระคู อ าเภอ
สุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
- แปลงวิจัยตั้งอยู่พิกัดที่ 1701513 N 457053 E UTM grid, Zone 48Q มีเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่
- แปลงวิจัยจัดอยู่ในกลุ่มชุดดินที่ 40 ชุดดินจักราช (Ndg-slB)
สภาพพื้นที่ (Site characterization)
การจ าแนก (USDA) Coarse-loamy, mixed, isohyperthermic Typic (Kandic Oxyaquic) Paleustults
การก าเนิดจากตะกอนน้ า สภาพพื้นที่ เป็นลูกคลื่นลอนลาดเล็กน้อย มีความลาดชัน 2-5 เปอร์เซ็นต์ มีการระบายน้ าดี
ปานกลางถึงดี การไหลบ่าของน้ าบนผิวดิน ปานกลาง การซึมผ่านได้ของน้ า ปานกลาง ลักษณะและสมบัติดิน เป็นดิน
ลึก เป็นดินลึกมาก ดินบนเป็นดินร่วนปนทราย สีน้ าตาล ดินล่าง เป็นดินร่วนปนทรายในตอนบน และพบดินร่วน
เหนียวปนทรายในตอนล่าง มีสีน้ าตาลหรือน้ าตาลปนเหลือง พบจุดประสีน้ าตาลแก่ ปฏิกิริยาดินเป็นกรดจัดถึงเป็น