Page 60 - ปุ๋ยอินทรีย์และการใช้ประโยชน์ในประเทศไทย
P. 60
ห้องสมุดกรมพัฒนาที่ดิน
49
ในการปรับใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในระบบการเกษตรอย่างยั่งยืนนั้น
หลัก 3 ประการที่ต้องยึดถือ คือ
1. ความพอประมาณ หมายถึง การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่มีอยู่เป็นทุนเดิมของตนเองหรือภายในท้องถิ่นให้
เกิดประโยชน์สูงสุดก่อนแสวงหาปุ๋ยอินทรีย์จากภายนอก ซึ่งเป็นการใช้ปุ๋ยอินทรีย์อย่างพอเหมาะ พอควร กับ
ระบบการเกษตร ส่วนการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ต้องค่านึงถึงความจ่าเป็น สถานะของตนเอง และสภาพแวดล้อม
ต่างๆ ว่าเหมาะสมหรือไม่ โดยค่านึงถึงปุ๋ยอินทรีย์ที่มีอยู่และจ่าเป็นต้องใช้ในการรักษาระดับความอุดม
สมบูรณ์ของดินและผลผลิตของพืช เพื่อให้เพียงพอที่จะด่าเนินการให้เกิดประโยชน์ต่อพื้นที่มากที่สุด โดย
อาศัยความรู้ด้านความอุดมสมบูรณ์ของดินและพืชว่าต้องการธาตุอาหารของพืชที่ปลูก เพื่อใช้ในการวางแผน
และตัดสินใจการใช้ปุ๋ยอินทรีย์อย่างเหมาะสม เช่น ถ้าเกษตรกรต้องการปลูกผักจ่านวน 1 ไร่ จ่าเป็นต้องใช้
ปุ๋ยหมัก 4 ตันต่อไร่ โดยร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตร 15 – 15 – 15 อัตรา 25 – 50 กิโลกรัมต่อไร่ (ส่านัก
เทคโนโลยีชีวภาพทางดิน, 2551) ดังนั้น ถ้าเกษตรกรมีปุ๋ยหมักเพียง 2 ตัน จึงควรปลูกผักเพียง 0.5 ไร่ จึง
จะเกิดประโยชน์สูงสุด
2. ความมีเหตุผล หมายถึง ต้องมีความรู้เกี่ยวกับชนิดของปุ๋ยอินทรีย์ว่าชนิดไหนมีความเหมาะสมกับ
ระบบการเกษตรแบบไหน เพื่อน่าไปใช้ในการการตัดสินใจด่าเนินการใช้ชนิดของปุ๋ยอินทรีย์ให้มีความ
เหมาะสมกับพืชที่ปลูก เช่น ในพื้นที่การท่าเกษตรที่มีขนาดใหญ่มาก ส่วนใช้จะใช้พืชปุ๋ยสดในการปรับปรุง
บ่ารุงดิน เพราะใช้ในปริมาณที่น้อยกว่าการใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกและลงทุนน้อยกว่า แต่ถ้าเกษตรกร
สามารถผลิตปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกได้ปริมาณมากๆ ก็สามารถใช้ได้ตามความเหมาะสม เพราะในปุ๋ยหมักและ
ปุ๋ยคอกจะมีปริมาณธาตุอาหารของพืชโดยรวมมากกว่าปุ๋ยพืชสดและเป็นการน่าธาตุอาหารจากแหล่งอื่นมาใส่
โดยพื้นที่ปลูกพืชไร่ เช่น อ้อย มันส่าปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสับปะรด นิยมใช้พืชปุ๋ยสด ได้แก่ ปอเทือง
ถั่วพร้าและถั่วพุ่ม เพราะความสามารถเจริญเติบโตและทนต่อความแห้งแล้งได้ดี โดยสามารถปลูกก่อนปลูก
พืชหลักและไถกลบ หรือปลูกแซมระหว่างแถวพืชหลัก ส่วนพื้นที่นาข้าว นิยมใช้พืชปุ๋ยสด ได้แก่ โสนอัฟริกัน
เพราะสามารถเจริญเติบโตได้ดีในสภาพน้่าขัง ถ้าสภาพน้่าไม่ขังใช้ปอเทือง ถั่วพร้าและถั่วพุ่มได้ โดยปลูกพืช
ปุ๋ยสดก่อน พร้อม หรือหลังการท่านา และสามารรถใช้ปุ๋ยอินทรีย์น้่าร่วมด้วยโดยการราดและฉีดพ่นพืช เพื่อ
เร่งการเจริญเติบโตและเพิ่มผลผลิตพืช เพราะปุ๋ยอินทรีย์น้่าจะมีสารเร่งการเจริญเติบโตของพืช ได้แก่
ฮอร์โมน กรดอะมิโน และสารฮิวมิก (ส่านักเทคโนโลยีชีวภาพทางดิน, 2551)
3. การสร้างภูมิคุ้มกัน หมายถึง โดยมีการวางแผนการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ชนิดต่างๆ ที่ต้องการใช้ในระบบ
การเกษตรให้เพียงพอกับความต้องการกับพืชที่ปลูก ได้แก่ การเตรียมปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก ปุ๋ยอินทรีย์น้่า และ
เมล็ดพันธุ์พืชปุ๋ยสดที่ต้องการใช้ในปีต่อไปให้เพียงพอ โดยหาแหล่งวัตถุดิบที่มีราคาถูกภายในท้องถิ่นหรือ
บริเวณใกล้เคียงในการน่ามาผลิตปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก ปุ๋ยอินทรีย์น้่า และเก็บเมล็ดพันธุ์พืชปุ๋ยสดไว้บางส่วนที่
ต้องการใช้ หรืออาจมีการตั้งกลุ่มกันภายในชุมชนในการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ชนิดต่างๆ เช่น ธนาคารปุ๋ยอินทรีย์
ชุมชน กลุ่มโรงปุ๋ยอินทรีย์ชุมชน ซึ่งต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต ขยันอดทน สติปัญญา แบ่งปัน และหาความรู้
ด้านต่างๆ เพื่อมาผลิตปุ๋ยอินทรีย์ที่มีธาตุอาหารสูงและจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อพืช เช่น น่าวัตถุดิบที่มีธาตุ
อาหารสูงในท้องถิ่นมาผลิตเป็นปุ๋ยหมักและผสมเชื้อจุลินทรีย์ละลายฟอสฟอรัส โพแทสเซียม ผลิตฮอร์โมน