Page 28 - การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อการสำรวจทรัพยากรดินในพื้นที่สูงบริเวณลุ่มน้ำสาขา น้ำแม่ต้า (ลุ่มน้ำยม)
P. 28
ห้องสมุดกรมพัฒนาที่ดิน
17
การเขียนสัญลักษณ์และคําอธิบายหน่วยแผนที่ดิน ให้เขียนตามลําดับตั้งแต่ชุดดิน (ดินคล้าย)
ตามด้วย ประเภทดิน (phases) ซึ่งประกอบด้วย 2 ประเภท ได้แก่ ดินตอนบนและความลาดชัน ตามลําดับ
ตัวอย่างเช่น ชุดดินท่ายางที่มีเนื้อดินบนเป็นดินร่วนปนทราย ความลาดชัน 2 - 5 เปอร์เซ็นต์ จะเขียนได้เป็น
“Ty-slB” และกรณีที่เป็นดินคล้ายจะเขียนลักษณะที่แตกต่างจากชุดดินดินเดิมต่อจากชื่อชุดดิน ตัวอย่างเช่น
ดินวังสะพุงที่เป็นดินลึกมาก มีเนื้อดินบนเป็นดินร่วนเหนียว ความลาดชัน 5 - 12 เปอร์เซ็นต์ จะเขียนได้เป็น
“Ws-vd-clC” เป็นต้น
4. ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์
4.1 ประวัติความเป็นมา
ปัจจุบันมีการพัฒนาเทคโนโลยีในการจัดทําแผนที่เพื่อให้สะดวก รวดเร็ว และถูกต้องอย่างไม่มี
ที่สิ้นสุด เมื่อองค์ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในสังคมยุคดิจิทัล โดยคอมพิวเตอร์
เข้ามารับหน้าที่ช่วยเหลือให้มนุษย์ทํางานได้รวดเร็วขึ้น และสามารถทํางานที่ซ้ําซากหรืองานที่ทําให้มนุษย์
เกิดความล้าหรือเบื่อหน่ายคอมพิวเตอร์ก็จะช่วยให้งานนั้นทําได้รวดเร็วขึ้น ซึ่งการเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีนั้น
เป็นสิ่งจําเป็นในลําดับต่อมา
ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) ได้มีการพัฒนาเมื่อตอนต้นปี ค.ศ. 1960 ด้วยเทคโนโลยี
คอมพิวเตอร์ที่ได้พัฒนามากขึ้น เพื่อช่วยในการจัดเก็บข้อมูลปริมาณมากได้และมีการปรับปรุงประสิทธิภาพในการ
จัดเก็บข้อมูลในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ให้ดีขึ้น (TYDAC, 1987) ซึ่งในการผลิตแผนที่นั้น ความถูกต้อง
แม่นยําและความสามารถช่วยตอบคําถามต่างๆ ได้นั้น ต้องอาศัยทักษะในการฝึกฝนและเรียนรู้ เมื่อมนุษย์นํา
คอมพิวเตอร์เข้ามาผลิตแผนที่ทําให้การผลิตแผนที่เริ่มเป็นระบบมากขึ้น นอกเหนือไปจากการผลิตแผนที่ได้
สวยงามผ่านจอแสดงผลแล้วมนุษย์ยังสามารถสอบถามข้อมูล เช่น แหล่งที่ตั้งของสถานที่ต่างๆ รวมไปถึงการ
วิเคราะห์หาพื้นที่ที่ถูกผลกระทบหากเกิดภัยธรรมชาติ โดยสิ่งที่มนุษย์คาดการณ์ผ่านระบบแผนที่บนคอมพิวเตอร์
เป็นส่วนที่ช่วยในการวางแผนการพัฒนาชุมชนของตนเองได้ อีกทั้งสามารถเตรียมการระวังภัยของชุมชนได้อีกด้วย
ซึ่งระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์จะตอบสนองความต้องการดังกล่าวได้นั้น ระบบคอมพิวเตอร์จะเป็นส่วนสําคัญ
ในการพัฒนาระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ทั้งการรวบรวม จัดเก็บ เรียกค้นข้อมูล วิเคราะห์ และการแสดงผลข้อมูล
รวมถึงการประมวลผลข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น (Williams, 1995)
การนําคอมพิวเตอร์มาใช้ในงานทําแผนที่และวิเคราะห์ข้อมูล มีพัฒนาการในช่วงปี ค.ศ. 1960 - 1970
โดยในปี ค.ศ. 1964 ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ได้พัฒนาขึ้นในยุคแรกเพื่อใช้วิเคราะห์พื้นที่ด้านการเกษตรโดย
รัฐบาลแคนาดา ซึ่งเรียกว่า ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์แห่งแคนดา และได้พัฒนาขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา
ในปี ค.ศ. 1967 เรียกว่า ระบบสารสนเทศการใช้ที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติแห่งรัฐนิวยอร์ก และในปี
ค.ศ. 1969 เป็นระบบสารสนเทศการจัดการที่ดินของรัฐมิเนโซตา (สํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและ
ภูมิสารสนเทศ, 2552)
เทคโนโลยีที่ได้เข้ามามีบทบาทในการปฏิบัติงานที่เกี่ยวกับข้อมูลเชิงพื้นที่ คือ เทคโนโลยี
ภูมิสารสนเทศ (geo-informatics) ซึ่งเป็นการกล่าวรวมถึง 3 เทคโนโลยีด้วยกัน คือ เทคโนโลยีการรับรู้
ระยะไกล (remote sensing: RS) เทคโนโลยีระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (geographic information
systems: GIS) และเทคโนโลยีการกําหนดพิกัดตําแหน่งบนพื้นโลก (global positioning system: GPS) หรือ
อาจจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “3 เอส เทคโนโลยี” โดยเทคโนโลยีทั้ง 3 ด้านนี้ต่างมีส่วนในการสนับสนุนและ
ส่งเสริมซึ่งกันและกันในการปฏิบัติการ การใช้เทคโนโลยีทั้ง 3 ด้านดังกล่าวร่วมกัน จะส่งผลให้การปฏิบัติงาน