Page 34 - หลักการจัดระบบอนุรักษ์ดินและน้ำในเขตพัฒนาที่ดิน
P. 34

29

                                2) ดินเปรี้ยว มีเนื้อที่รามทั้งหมดประมาณ 8.2 ลานไร พบสวนใหญในพื้นที่ราบภาคกลาง

                  เชน บางสวนของจังหวัดปทุมธานี นครนายก สระบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และปราจีนบุรี สําหรับการดู
                  ลักษณะดินเปรี้ยวสังเกตไดจากน้ําในบอบริเวณที่มีดินเปรี้ยวจะใสเหมือนเอาสารสมไปแกวงและมีรสเปรี้ยว

                  เมื่อขุดดินลงไปอีก 50 - 150 เซนติเมตร. จะพบสารสีเหลืองคลายฟางขาวเปนจุดกระจายอยูในเนื้อดิน

                                3)  ดินทรายจัด มีเนื้อที่รวมทั้งหมดประมาณ 7.1 ลานไร พบสวนใหญในภาค
                  ตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต

                                4)  ดินที่มีชั้นดาน มีเนื้อที่รวมทั้งหมดประมาณ 0.6 ลานไร พบสวนใหญในภาคใต ดิน

                  ประเภทนี้เนื้อดินจะเปนทราย และมีชั้นดานจับตัวกันแข็งโดยมีเหล็กและฮิวมัสเปนตัวเชื่อม เกิดขึ้นกันใน

                  ระดับความลึก 2 เมตร แตสวนใหญเกิดขึ้นกวา 1 เมตร จากผิวดิน
                                5) ดินที่มีการยืดหดตัวสูง มีเนื้อที่รวมทั้งหมดประมาณ 2.1 ลานไร พบสวนใหญในภาค

                  กลางบริเวณจังหวัดสุพรรณบุรี สระบุรี และลพบุรี

                                6)  ดินพรุ มีเนื้อที่รวมทั้งหมดประมาณ 505,000 ไร พบมากแถบภาคใตในพื้นที่จังหวัด

                  สงขลา นครศรีธรรมราช สุราษฎรธานี ชุมพร ปตตานี แตที่เปนพื้นที่แปลงใหญคือ จังหวัดนราธิวาส เปนดิน
                  ที่เกิดจากการทับถมของสารอินทรียโดยเฉพาะพืชที่เนาเปอยทับถมอยูเปนชั้นหนาแตกตางกันตั้งแต 50

                  เซนติเมตร ถึง 3 เมตร เปนดินที่ไมอยูตัวขึ้นอยูกับระดับน้ํา ขาดธาตุอาหารที่จําเปนตอการเจริญเติบโตของ

                  พืชเมื่อระบายน้ําออกใหดินแหง ดินจะกลายสภาพเปนกรดจัด
                                7) ดินปนกรวด มีเนื้อที่รวมทั้งหมดประมาณ 52,388,750 ไรพบกระจายอยูทั่วทุกภาค

                                8)  ดินเหมืองแรราง มีเนื้อที่รวมกันประมาณ 159,000 ไร พบสวนใหญในจังหวัดพังงา ภูเก็ต

                  และระนอง หลังจากการทําเหมืองแลวดินจะถูกทําลายทั้งในสภาพพื้นที่และคุณภาพของดิน พื้นที่จะขรุขระ
                  เปนที่สูงๆ ต่ําๆ แรธาตุพืชถูกชะลางออกไปในระหวางทําเหมือง

                                9)  ดินอินทรีย มีเนื้อที่รวมกัน 0.5 ลานไร

                                10) ดินตื้น มีเนื้อที่รวมกัน 51.3 ลานไร
                                11) ดินบนภูเขา มีเนื้อที่รวมกันประมาณ 96.1 ลานไร

                          จากลักษณะดินที่มีปญหาดังกลาว  หากขาดการจัดการที่ถูกตองตามหลักวิชาการ  นอกจากดินจะ

                  เสื่อมโทรมโดยตัวของมันเองแลว ยังจะเห็นการเรงใหเกิดความเสื่อมโทรมไดเร็วยิ่งขึ้น  ทําใหเกิดปญหาการ

                  ขาดแคลนพื้นที่ทําการเกษตรมากขึ้น
                          ปญหาตางๆ เหลานี้  ลวนแลวเกิดจากการขาดการจัดการและการวางแผนการใชที่ดินอยางถูกตอง

                  และเหมาะสมตามหลักวิชาการ  อยางไรก็ตาม ถึงแมเนื้อที่ถือครองทางการเกษตร  จะมีอัตราเพิ่มขึ้น  แตเมื่อ

                  พิจารณาสัดสวนของที่ดินเพื่อการเกษตรตอประชากร  พบวามีแนวโนมลดลงจาก 2.5 ไรตอคน เหลือเพียง
                  2.2 ไรตอคน เนื่องมาจากอัตราการเพิ่มของประชากรสูงกวาอัตราการเพิ่มของพื้นที่เพื่อการเกษตร ดังนั้น เมื่อ

                  พิจารณาสถานการณในการใชประโยชนที่ดินนั้น  มีแนวโนมสูงขึ้นตามอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากร

                  และความเจริญเติบโตของสังคมมนุษย ที่ดินถูกนํามาใชประโยชนเพื่อการดํารงชีพมากขึ้น เชน ที่อยูอาศัย
   29   30   31   32   33   34   35   36   37   38   39