Page 27 - การประเมินผลสัมฤทธิ์กิจกรรมด้านการจัดระบบอนุรักษ์ดินและน้ำของกรมพัฒนาที่ดิน ประจำปีงบประมาณ 2566
P. 27

ห้องสมุดกรมพัฒนาที่ดิน







                                      4) พื นที่ที่มีศักยภาพในการแพร่กระจายดินเค็ม หมายถึง บริเวณที่เป็นที่ดินที่เนิน
                  มีการปลูกพืชไร่อยู่ ปัจจุบันจะไม่พบคราบเกลือตามผิวดิน แต่ภายใต้ดินมีหินเกลืออยู่ เมื่อมีฝนตก น ้าจากผิวดิน

                  จะซึมผ่านชั นหินเกลือจะได้น ้าเค็ม ซึ่งจะไหลผ่านชั นใต้ดินออกสู่ที่ลุ่มถัดไป
                               2.1.3.4 แนวทางการจัดการฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาในพื นที่ดินเค็มภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
                                      การแก้ไขปัญหาพื นที่ดินเค็มนั น สามารถท้าให้กลับมาใช้ประโยชน์ทางการเกษตร
                  ได้ตามความเหมาะสมของระดับความเค็มที่เกิดขึ น และสามารถลดระดับความรุนแรงของปัญหาดินเค็มลงได้

                  โดยจัดการเชิงพื นที่อย่างเป็นระบบ แต่ต้องมีการลงทุนและให้เวลาในการแก้ไขฟื้นฟู ดังนี
                                      1) พื นที่ดินเค็มน้อย-เค็มปานกลาง
                                         ส่วนใหญ่เป็นที่ลุ่มใช้ในการปลูกข้าว ในช่วงแล้งจะพบคราบเกลือบนผิวดิน
                  เป็นหย่อมๆ อย่างไรก็ตามข้าวให้ผลผลิตต่้า ดังนั นก่อนการปลูกข้าวจะต้องมีการจัดการที่ดีทั งดิน น ้า และพืช

                  คือ ในการเตรียมดินเพื่อปลูกข้าวควรปรับระดับหน้าดินให้มีอินทรียวัตถุ เช่น ปุ๋ยคอก แกลบ ปุ๋ยพืชสด ใช้พันธุ์ข้าว
                  ทนเค็ม เช่น ข้าวดอกมะลิ 105 สามารถท้าให้ผลผลิตข้าวเพิ่มขึ นโดยเฉลี่ยจาก 10-15 ถัง เป็น 30-50 ถังต่อไร่
                                         ส้าหรับปุ๋ยพืชสดที่กรมพัฒนาที่ดินส่งเสริมให้มีการปลูกเพื่อใช้เป็นปุ๋ยพืชสด

                  ในพื นที่ดินเค็ม คือ โสนอัฟริกัน เพราะเป็นพืชตระกูลถั่วที่เจริญเติบโตได้ดีในพื นที่ดินเค็ม ให้มวลชีวภาพสูง
                  มีปมทั งรากและล้าต้น ท้าให้มีประสิทธิภาพในการดึงไนโตรเจนได้ปริมาณสูงกว่าหลังการสับกลบ ส่งผลให้พืช
                  ที่ปลูกตามมาได้ผลผลิตเพิ่มขึ น โดยแนะน้าให้ปลูกในช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายน ใช้อัตราเมล็ดพันธุ์
                  5 กิโลกรัมต่อไร่ แล้วสับกลบเมื่อโสนอัฟริกันอายุประมาณ 60 วัน
                                         ในพื นที่ดินเค็มน้อยและเค็มปานกลางที่น ้าไม่ท่วม หรือหลังเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว

                  มีน ้าเพียงพอ สามารถปรับปรุงบ้ารุงดินแล้วปลูกพืชเศรษฐกิจทนเค็มได้ โดยด้าเนินการดังนี
                                         - ปรับปรุงบ้ารุงดินด้วยอินทรียวัตถุ คือ แกลบ ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสด
                                         - เลือกปลูกพืชทนเค็มที่เหมาะสมกับระดับความเค็มของดิน เช่น หน่อไม้ฝรั่ง

                  มะเขือเทศ กุยช่าย แตง แคนตาลูป บร๊อคโคลี่ คะน้า เป็นต้น
                                         - ให้น ้าระบบน ้าหยด จะช่วยควบคุมความชื นดิน ความเค็มดิน และประหยัดน ้าได้ดี
                                         - ควรมีการคลุมดินหลังปลูกเพื่อรักษาความชื นดิน ความเค็มดิน และประหยัดน ้าได้ดี
                                      2) พื นที่ดินเค็มจัด

                                         เป็นบริเวณที่มีคราบเกลือบนผิวดินปริมาณมาก มีน ้าใต้ดินเค็มอยู่ใกล้ผิวดิน มักเป็น
                  ที่ว่างเปล่าปลูกพืชเศรษฐกิจไม่ได้ พืชทนเค็มจัดเท่านั นที่ขึ นได้ เช่น หนามพุงดอ หนามพรม เป็นต้น แนวทาง
                  การจัดการเน้นที่การฟื้นฟูแก้ไขสภาพเสื่อมโทรมของพื นที่ดินเค็มจัด ให้เป็นทุ่งหญ้าที่มีต้นไม้ขึ นได้ แนวทาง
                  การจัดการเป็นดังนี

                                         - ปลูกต้นไม้ทนเค็มจัดและหญ้าชอบเกลือ คือ ในพื นที่ดินเค็มจัดที่น ้าไม่ท่วมขัง
                  ปลูกต้นกระถินออสเตรเลีย ระยะ 2x2 เมตร ร่วมกับการปลูกหญ้าดิ๊กซี่ ให้เจริญเติบโตคลุมหน้าดิน
                  ช่วยควบคุมการระเหยของน ้าที่จะพาเกลือมาสะสมบนผิวดิน และเศษซากพืชยังช่วยเติมอินทรียวัตถุลงไปในดิน
                  ส้าหรับพื นที่ลุ่มน ้าท่วมขังควรท้าร่องระบายน ้าทุกๆ 10 เมตร กรมพัฒนาที่ดินได้ด้าเนินการเห็นเป็นรูปธรรม

                  แล้วในพื นที่ อ.ขามทะเลสอ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา และ ต.เมืองเพีย อ.ชนบท จ.ขอนแก่น
                                         - การท้าคันดินเพื่อชะล้างเกลือจากชั นหน้าดิน และควบคุมระดับน ้าใต้ดินเค็ม
                  ท้าให้ความเค็มของดินลดลง เช่น อ.พระยืน จ.ขอนแก่น อ.หนองบ่อ จ.มหาสารคาม
   22   23   24   25   26   27   28   29   30   31   32