Page 26 - การประเมินผลสัมฤทธิ์กิจกรรมด้านการจัดระบบอนุรักษ์ดินและน้ำของกรมพัฒนาที่ดิน ประจำปีงบประมาณ 2566
P. 26

ห้องสมุดกรมพัฒนาที่ดิน







                  เกิดความไม่สมดุลของธาตุอาหารพืช พืชเกิดอาการขาดน ้าและมีการสะสมไอออนที่เป็นพิษในพืชมากเกินไป
                  จนก่อให้เกิดความไม่สมดุลของธาตุอาหารพืช (อรุณี, 2546)

                               2.1.3.2 สาเหตุของการเกิดดินเค็ม

                                      สาเหตุหลักของการเกิดดินเค็มคือ การมีแหล่งก้าเนิดความเค็มวางตัวรองรับอยู่ใต้
                  ผิวดินที่ส้าคัญได้แก่ ชั นเกลือหิน แร่โพแทช และชั นหินอมเกลือ ซึ่งพบสะสมตัวอยู่ในชั นหินของหมวดหิน
                  มหาสารคาม ชั นเกลือหินที่อยู่ใต้ดินเมื่อถูกยกตัวจะท้าให้เกิดโดมเกลือใต้ดินระดับตื น เนื่องจากเกลือ
                  มีคุณสมบัติละลายน ้าได้ดี เมื่อถูกน ้าบาดาลท้าละลายจึงถูกเคลื่อนย้ายในรูปของน ้าเค็มไปตามระบบการ

                  ไหลเวียนของน ้าบาดาลลงสู่พื นที่ลุ่มต่้า และน ้าเค็มใต้ดินเมื่อแทรกซึมขึ นมาตามช่องว่างของดินและ
                  มีการระเหย ท้าให้เกิดเป็นคราบเกลือปรากฏอยู่ตามผิวดิน ซึ่งเกลือส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของโซเดียมคลอไรด์
                  (กรมทรัพยากรธรณี, 2558)

                                      พื นที่ดินเค็มในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอยู่ประมาณร้อยละ 17 ของพื นที่
                  คิดเป็นเนื อที่ 17.8 ล้านไร่ พื นที่ดินเค็มจัดอยู่ประมาณ 1.5 ล้านไร่ เค็มปานกลางประมาณ 3.7 ล้านไร่ และเค็มน้อย

                  ประมาณ 12.6 ล้านไร่ (กรมทรัพยากรธรณี, 2558) การบริหารจัดการพื นที่ดินเค็มที่ด้าเนินการอยู่ในปัจจุบัน
                  เพื่อการฟื้นฟูและการป้องกันการแพร่กระจายดินเค็มเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยวิธีการปลูกพันธุ์ข้าว
                  ทนเค็ม การใช้สารปรับปรุงดินในรูปของอินทรียวัตถุและอนินทรียวัตถุ การใช้พืชปุ๋ยสดปลูกแล้วไถกลบลงในดิน

                  การปลูกไม้ยืนต้นตระกูลถั่วทนเค็ม ทั งหญ้าทนเค็ม การปลูกต้นกระถินออสเตรเลีย ซึ่งการใช้วิธีการเหล่านี
                  ไม่สามารถแก้ไขหรือปรับปรุง ดินเค็มได้อย่างถาวร เพียงแต่เป็นการลดความรุนแรงของปัญหาดินเค็ม แต่การฟื้นฟู
                  พื นที่ดินเค็มและการควบคุมป้องกันการเกิดและการแพร่กระจายดินเค็มอย่างมีประสิทธิภาพที่ถาวร สามารถ
                  กระท้าได้โดยการจ้าแนกพื นที่รับน ้าและพื นที่ให้น ้าที่อยู่ในพื นที่ลุ่มน ้าที่มีพื นที่ดินเค็มให้ชัดเจน พร้อมทั งจ้าแนก
                  ความรุนแรงของระดับความเค็มของดิน หาวิธีการป้องกันไม่ให้เกิดการเติมน ้าลงไปในแหล่งน ้าใต้ดินในบริเวณ

                  พื นที่รับน ้า และควบคุมระดับน ้าใต้ดินที่เค็มในบริเวณพื นที่ให้น ้าหรือพื นที่ดินเค็มให้อยู่ในระดับความลึกที่น ้า
                  ใต้ดินเค็มไม่สามารถเคลื่อนที่ขึ นมาระเหยบนบริเวณผิวดินหรือบริเวณรากพืชได้ด้วยการใช้วิธีการทางด้านพืช
                  เน้นการปลูกป่าในพื นที่รับน ้าด้วยการปลูกไม้ยืนต้นที่มีรากลึก เจริญเติบโตได้รวดเร็วและใช้น ้า ส่วนวิธีการ

                  ทางวิศวกรรมนั น จัดเป็นวิธีการที่เหมาะสมที่สุดในการฟื้นฟูพื นที่ดินเค็ม ด้วยการก่อสร้างทางระบายน ้า
                  ทั งระบบระบายน ้าผิวดินและระบบระบายน ้าเค็มใต้ดิน เพื่อที่จะระบายน ้าเค็มใต้ดินให้ลดระดับความเค็มลงไป
                  ในระดับความลึกที่ต้องการ

                               2.1.3.3 การแบ่งพื นที่ดินเค็ม
                                      พื นที่ดินเค็มภาคตะวันอกเฉียงเหนือ แบ่งได้ 4 พื นที่ คือ

                                      1) ดินเค็มมาก หมายถึง บริเวณที่พบคราบเกลือตามผิวดิน กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป
                  เป็นปริมาณมากกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ของพื นที่ส่วนใหญ่ พื นที่นี จะปลูกพืชไม่ค่อยได้ มักปล่อยทิ งร้าง
                  การปรับปรุงแก้ไขต้องลงทุนสูง
                                      2) ดินเค็มปานกลาง หมายถึง บริเวณที่พบคราบเกลือกระจัดกระจายตามผิวดิน

                  เป็นปริมาณ 1 ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ของพื นที่ พื นที่พอจะปลูกพืชได้ผลผลิตต่้า
                                      3) ดินเค็มน้อย หมายถึง บริเวณที่พบคราบเกลือกระจัดกระจายตามผิวดินปริมาณ
                  น้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ของพื นที่ น ้าใต้ดินเป็นน ้ากร่อยหรือน ้าเค็ม แต่จะลึกมากกว่า 2 เมตร จากผิวดิน บริเวณนี

                  ส่วนใหญ่ใช้ท้านา
   21   22   23   24   25   26   27   28   29   30   31