Page 32 - ปุ๋ยอินทรีย์และการใช้ประโยชน์ในประเทศไทย
P. 32
ห้องสมุดกรมพัฒนาที่ดิน
21
2.3 การนําเอาดินที่มีปัญหามาใช้ประโยชน์ทางการเกษตร
ทรัพยากรดินที่มีข้อจ่ากัดบางประการในการน่ามาใช้ประโยชน์ทางการเกษตร ส่วนใหญ่จะเป็น
ดินที่มีปัญหาที่เกิดขึ้นมาจาก 2 สาเหตุ คือ 1) เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งปัญหาของดินเหล่านี้ที่เกิด
เนื่องมาจากปัจจัยที่ให้ก่าเนิดดิน ซึ่งประกอบด้วย วัตถุต้นก่าเนิดดิน คือ หินชนิดต่างๆ ตลอดจนคุณสมบัติ
ทางเคมีที่ปะปนอยู่ สภาพพื้นที่ ภูมิอากาศ พืชพรรณธรรมชาติที่ปกคลุม และระยะเวลาที่เกิดดิน 2) เกิด
จากการใช้ประโยชน์ที่ดินของมนุษย์ หมายถึง ดินที่เกิดจากการปฏิบัติหรือการใช้ที่ดินที่ไม่เหมาะสมของ
มนุษย์ ได้แก่ การปลูกพืชโดยปราศจากการบ่ารุงรักษาดิน การปลูกพืชชนิดเดียวติดต่อกันเป็นเวลานาน การ
ท่าลายป่าเพื่อการเกษตร การเผาป่าหรือไร่นา การใช้สารเคมีทางการเกษตรจนเกิดผลตกค้างในดิน การใช้
เครื่องจักรกลเกษตรขนาดใหญ่ทั้งหลายเหล่านี้เป็นตัวเร่งท่าให้ดินเกิดการเสื่อมโทรม เกิดการสะสมธาตุ
อาหาร สารเคมีชนิดต่างๆ จนเป็นพิษต่อพืช มีโครงสร้างของดินอัดแน่นทึบเป็นอุปสรรคต่อการเจริญเติบโต
ของพืช โดยมีรายละเอียดดังรายงานกรมพัฒนาที่ดิน (2558ข) ดังนี้
1) ดินเปรี้ยวจัด สภาพปัญหาที่พบ ได้แก่ ดินเป็นกรดจัดมากมีค่าความเป็นกรดเป็นด่างของ
ดินต่่ากว่า 4.5 มีอะลูมินัม เหล็ก แมงกานีสและซัลไฟด์ ละลายออกมามากเกินไปจนเป็นพิษต่อพืชที่ปลูก
ขาดแคลนธาตุอาหารไนโตรเจนและฟอสฟอรัส บริเวณพื้นที่ลุ่มต่่าน้่าท่วมขัง และโครงสร้างดินแน่นทึบท่าให้
ดินมีการระบายน้่าเลว เนื้อดินเป็นดินเหนียวถึงเหนียวจัดเมื่อดินแห้งจะแข็งและแตกระแหงท่าให้ไถพรวน
ยาก ยับยั้งกิจกรรมของจุลินทรีย์ในการย่อยสลายอินทรียวัตถุและตรึงไนโตรเจน พบมากในพื้นที่ของภาค
กลาง 3.19 ล้านไร่ ภาคตะวันออก 0.89 ล้านไร่ และภาคใต้ 1.49 ล้านไร่
2) ดินอินทรีย์ สภาพปัญหาที่พบ ได้แก่ ในชั้นดินอินทรีย์จะมีกรดฮิวมิค ส่วนใต้ชั้นดินอินทรีย์ที่
ระดับความลึกประมาณ 80 - 300 เซนติเมตร เป็นดินเลนตะกอนน้่าทะเลสีเทาปนน้่าเงิน มีสารประกอบก่ามะถัน
อยู่มาก เมื่อมีการระบายน้่าออกไป ดินแห้งและสัมผัสกับอากาศเกิดเป็นกรดก่ามะถัน ท่าให้ดินมีสภาพเป็นกรด
รุนแรงมาก มีค่าความเป็นกรดเป็นด่างของดินน้อยกว่า 4.5 นอกจากนี้ดินอินทรีย์จะยุบตัว ติดไฟง่ายแต่ดับยาก
ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่โดยการระบายน้่าออกจากพรุมากเกินไป จะท่าให้ดินมีสภาพเป็นกรดได้ใน
ภายหลังและเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้ ท่าให้พื้นที่ใช้ประโยชน์ไม่ได้ การจัดการดินท่าได้ล่าบากและเสียค่าใช้จ่าย
สูง ในขณะเดียวกันถ้าน่ามาปลูกไม้ยืนต้น ต้นไม้ล้มง่ายเนื่องจากดินอินทรีย์มีความสามารถในการรับน้่าหนัก
ได้น้อย นอกจากนี้เกิดความไม่สมดุลของธาตุอาหาร ท่าให้พืชแสดงขาดธาตุอาหาร เช่น ไนโตรเจน
ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แคลเซียม โบรอน และทองแดง เกิดความเป็นพิษของเหล็กและอะลูมินั่ม และ
ขาดแคลนแหล่งน้่าจืด พบในบริเวณที่ลุ่มน้่าขังชายฝั่งทะเลของภาคใต้และภาคตะวันออก มีพื้นที่ประมาณ
0.34 ล้านไร่ ประกอบด้วย กลุ่มดินที่มีชั้นวัสดุอินทรีย์หนา 40 - 100 เซนติเมตรจากผิวดิน ได้แก่ กลุ่มชุดดินที่
57 และกลุ่มดินที่มีชั้นวัสดุอินทรีย์หนามากกว่า 100 เซนติเมตรจากผิวดิน ได้แก่ กลุ่มชุดดินที่ 58
3) ดินเค็ม สภาพปัญหาที่พบ ได้แก่ เกิดความไม่สมดุลของธาตุอาหาร มีความเป็นพิษของธาตุ
โซเดียมและคลอไรด์และขาดธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม เหล็ก แมงกานีส ทองแดง สังกะสี
และโคบอลท์ พืชที่ปลูกไม่เจริญเติบโตมีล่าต้นแคระแกร็น ให้ผลผลิตต่่า ดินมีโครงสร้างแน่นทึบ ท่าให้เป็น