Page 27 - การศึกษาประสิทธิภาพจุลินทรีย์ซุปเปอร์ พด.9 ต่อการเพิ่มความเป็นประโยชน์ของฟอสฟอรัสและผลผลิตข้าวในดินกรดจัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย
P. 27
18
หลังจาก 14 วันหลังปักดําจนถึงเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าว ทุกตํารับทดลองยกเว้นตํารับ
ควบคุมมีปริมาณจุลินทรีย์ละลายอนินทรีย์ฟอสเฟตลดลงและค่อนข้างจะคงที่ โดยตํารับทดลองที่ใส่
จุลินทรีย์ซุปเปอร์ พด.9 อัตรา 100 และ 150 กิโลกรัมต่อไร่ มีแนวโน้มของปริมาณจุลินทรีย์ละลาย
อนินทรีย์ฟอสเฟตสูงกว่าทุกตํารับทดลองตลอดระยะการเจริญเติบโตของข้าว โดยมีปริมาณจุลินทรีย์
5
5
ละลายอนินทรีย์ฟอสเฟตเฉลี่ยสูงสุด คือ 3.88 x 10 และ 4.31 x 10 โคโลนีต่อกรัมดิน ตามลําดับ
ขณะที่ตํารับควบคุมซึ่งไม่ใส่จุลินทรีย์ มีปริมาณจุลินทรีย์ละลายอนินทรีย์ฟอสเฟตต่ําที่สุดตลอดระยะ
การเจริญเติบโตของข้าว แสดงให้เห็นได้ว่าจุลินทรีย์ซุปเปอร์ พด.9 สามารถเจริญเติบโต เพิ่มปริมาณ
และอยู่รอดได้ในดินนากรดจัดได้ดีกว่าจุลินทรีย์ พด.9 โดยจากการศึกษาของ ธงชัย (2533) พบว่าใน
4
ดินนาโดยทั่วไปมีปริมาณแบคทีเรียละลายแคลเซียมฟอสเฟต เท่ากับ 29.95 X 10 โคโลนีต่อกรัมดิน
6.00 ระยะตั้งตัว ระยะแตกกอ ระยะสร้างรวง ระยะออกดอก ระยะสุกแก่
ปริมาณจุลินทรีย์ละลายอนินทรีย์ฟอสเฟต (log no./กรัม) 4.00
5.00
3.00
2.00
1.00
0.00
34
7
0 ใส่ปุ๋ยครั้งที่ 1 14 24 ใส่ปุ๋ยครั้งที่ 2 44 54 64 74 84 94 104
ระยะเวลา (วัน)
ควบคุม พด.9 อัตรา 100 กก./ไร่
ซุปเปอร์ พด.9 อัตรา 50 กก./ไร่ ซุปเปอร์ พด.9 อัตรา 100 กก./ไร่
ซุปเปอร์ พด.9 อัตรา 150 กก./ไร่
ภาพที่ 1 ปริมาณจุลินทรีย์ละลายอนินทรีย์ฟอสฟอรัสในดินหลังการปลูกข้าวขาวดอกมะลิ 105
2.2 การเปลี่ยนแปลงปริมาณฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ในดินหลังการปลูกข้าว
ผลการวิเคราะห์ปริมาณฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ในดินหลังการปลูกข้าว ในช่วงเวลา
เดียวกันกับผลวิเคราะห์ปริมาณจุลินทรีย์ละลายอนินทรีย์ฟอสเฟต (ภาพที่ 2) พบว่า ที่ 0 วันหลัง
ปักดํา ทุกตํารับทดลองมีปริมาณฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ในดินใกล้เคียงกันอยู่ในช่วง 5.84-7.46
มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ํา (กรมพัฒนาที่ดิน, 2558) แต่ยังสูงกว่าดินก่อนการทดลอง
ที่มีเพียง 3.00 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม (กรมพัฒนาที่ดิน, 2558) (ตารางที่ 1) เนื่องจากก่อนการทดลอง
ได้มีการบ่มดินให้อิ่มตัวด้วยน้ําก่อนปลูกข้าวทําให้ค่าความเป็นกรดเป็นด่างของดินเพิ่มสูงขึ้นจาก 4.8
เป็น 5.7 ซึ่งมีสภาพเป็นกรดปานกลาง (ภาพที่ 3) ทําให้มีการปลดปล่อยฟอสฟอรัสบางส่วนออกสู่
สารละลายดิน จากการศึกษาของ ณฐมณ และศุภธิดา (2557) พบว่าเมื่อค่าความเป็นกรดเป็นด่าง
ของดินเพิ่มขึ้น ปริมาณฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ในสารละลายดินจะเพิ่มขึ้นตามและดินเมื่อมีการ
2+
ขังน้ําสารประกอบเหล็กจะถูกรีดิวซ์เป็นเฟอรัส (Fe ) ละลายอยู่ในสารละลายดิน ทําให้ฟอสเฟตถูก
ปลดปล่อยออกมาเป็นประโยชน์มากขึ้น (ทัศนีย์, 2543; Snyder, 2002) แต่อย่างไรก็ตามถ้าในดินนั้น

