Page 44 - การจัดทำค่ามาตรฐานธาตุอาหารพืชในชาน้ำมันเพื่อใช้เป็นค่าวินิจฉัยสำหรับให้คำแนะนำปุ๋ย Preparation of Standard Plant Nutrients in Camellia oleifera Able. for Use as Diagnostic for Fertilizer Recommendations.
P. 44
ห้องสมุดกรมพัฒนาที่ดิน
34
แมงกานีสในดินจากอ้านาจการไล่ที่ของแคลเซียมและแมกนีเซียมแล้ว ยังสามารถใช้เป็นแหล่งของแคลเซียม
และแมกนีเซียมในดิน รวมถึงช่วยยกระดับพีเอชให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสมได้อีกทางหนึ่ง มีรายงานหาก พีเอช
ของดินเพิ่มขึ น 1 หน่วย ความเข้มข้นของแมงกานัสไอออนในสารละลายดินจะลดลง 100 เท่า (ยงยุทธ, 2552)
อย่างไรก็ตาม หากใส่วัสดุปูนในปริมาณมากเกินไป ต้องระวังปัญหาอันตรกิริยาเชิงลบของแคลเซียมและ
แมกนีเซียม ที่จะมีผลต่อความเป็นประโยชน์ของธาตุอาหารชนิดอื่น เช่นเดียวกับกรณีปัญหาที่เกิดจาก
แมงกานีส
3. สถานะธาตุอาหารในดินจ้าแนกตามระดับผลผลิต
จากผลวิเคราะห์ดินบริเวณต้นที่ให้ผลผลิตแตกต่างกัน แบ่งเป็น ต้นเกรด A (ผลผลิตสูง >100 ผลต่อ
ต้น) ต้นเกรด B (ผลผลิตปานกลาง 50-100 ผลต่อต้น) ต้นเกรด C (ผลผลิตต่้า <50 ผลต่อต้น) และต้นเกรด D
(ไม่ให้ผลผลิต) ชี ให้เห็นว่า ระดับผลผลิตชาน ้ามันค่อนข้างผันแปรตามระดับธาตุอาหารในดิน โดยเฉพาะเมื่อ
เปรียบเทียบกรณีของต้นเกรด A ซึ่งให้ผลผลิตสูงสุด กับต้นเกรด D ที่ไม่ให้ผลผลิต พบว่า ดินบริเวณต้นเกรด
A มีพีเอช ปริมาณโพแทสเซียม แคลเซียม และแมกนีเซียมที่แลกเปลี่ยนได้ สูงกว่าต้นเกรด D อย่างเด่นชัด
นอกจากนี เมื่อพิจารณาจากสัดส่วนของแมงกานีสกับธาตุอาหารชนิดอื่น ชี ให้เห็นว่า สัดส่วนของ
แมงกานีส/โพแทสเซียม แมงกานีส/แคลเซียม และแมงกานีส/แมกนีเซียม ในดินบริเวณต้นเกรด A มีแนวโน้ม
อยู่ในระดับต่้ากว่าต้นเกรด D โดยเฉพาะกรณีสัดส่วนของแมงกานีส/โพแทสเซียม มีความแตกต่างอย่างมี
นัยส้าคัญ ทั งนี เนื่องจากระดับแมงกานีสที่สูงในดินบริเวณต้นเกรด D อาจไปไล่ที่แคตไอออนชนิดอื่น ซึ่งถูกดูด
ซับอยู่ที่ผิวคอลลอยด์ดิน ให้ออกมาอยู่ในสารละลายดิน (ยงยุทธ, 2552) ประกอบกับพื นที่ปลูกชาน ้ามันอยู่ใน
พื นที่ลาดชัน ดังนั น เมื่อฝนตกแคตไอออนส่วนที่อยู่ในสารละลายดินจึงถูกชะละลายออกจากหน้าตัดดินได้
โดยง่าย ส่งผลให้ปริมาณโพแทสเซียม แคลเซียม และแมกนีเซียมที่สกัดได้อยู่ในระดับต่้า สัดส่วนของ
แมงกานีสกับธาตุดังกล่าวจึงอยู่ในระดับสูง ในขณะที่สัดส่วนของแมงกานีส/ฟอสฟอรัส มีแนวโน้มลดลงตาม
ระดับผลผลิต ทั งนี หากพิจารณาจากสัดส่วนที่เหมาะสม ตามทฤษฎีต้องมีแนวโน้มเพิ่มขึ นตามระดับผลผลิต
ชี ให้เห็นว่า ฟอสฟอรัสอาจไม่ได้เป็นธาตุที่เป็นปัจจัยจ้ากัดผลผลิตในอันดับต้น ๆ ซึ่งสอดคล้องกับสถานะธาตุ
อาหารในใบของต้นเกรด A พบว่าอยู่ในระดับต่้าสุดเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มเกรดอื่น แต่กลับให้ผลผลิตสูงสุด
จึงควรท้าการศึกษาประเด็นดังกล่าวเพิ่มเติม ในขณะที่ ความไม่สมดุลของธาตุอาหารในดินอันเนื่องจาก
แมงกานีสที่สูงในดิน โดยเฉพาะกรณีของต้นเกรด D ซึ่งพบแนวโน้มของความไม่สมดุลสูงสุด ส่งผลให้เกิดการ
แก่งแย่งระหว่างธาตุอาหาร (Turan et al., 2013) ต้นชาน ้ามันในกลุ่มดังกล่าวจึงดูดแมงกานีสไปสะสมในใบ
สูงกว่าการดูดใช้ธาตุอาหารชนิดอื่น ท้าให้ระดับแมงกานีสที่สกัดได้ในดินอยู่ในระดับต่้ากว่าต้นเกรด A อย่างมี
นัยส้าคัญ ทั งนี อาจเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ท้าให้สัดส่วนของแมงกานีส/ฟอสฟอรัส บริเวณต้นเกรด A มีแนวโน้ม
อยู่ในระดับสูงกว่าต้นเกรด D เพราะต้นเกรด A มีการดูดแมงกานีสไปสะสมในใบน้อยกว่า จึงมีการสะสมใน
ดินสูง ในขณะที่แมงกานีสที่สูงอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการดูดใช้ฟอสฟอรัส ท้าให้การสะสมฟอสฟอรัสในใบของ
ต้นเกรด A อยู่ในระดับต่้ากว่ากลุ่มอื่นอย่างมีนัยส้าคัญ แต่มีการสะสมในดินค่อนข้างสูง โดยที่พืชดูดไปใช้ได้
น้อย ส่งผลให้ สัดส่วนแมงกานีส/ฟอสฟอรัส ของต้นเกรด A มีแนวโน้มสูงสุด อย่างไรก็ตาม สัดส่วนของ