Page 31 - การประเมินคุณภาพดินเพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการพื้นที่ ทางการเกษตรที่มีอัตราการชะล้างพังทลายสูงโดยใช้เทคนิคนิวเคลียร์ จังหวัดกาญจนบุรี Assessing soil quality and enhance crop productivity through agriculture management using nuclear techniques in the area of erosion in Kanchanaburi province.
P. 31

ห้องสมุดกรมพัฒนาที่ดิน

                                                                                                       25


                                                    ผลการวิจัยและวิจารณ

                   1. การประเมินคุณภาพของดินและความอุดมสมบูรณของดิน
                          หลังจากที่ไดดําเนินการเก็บตัวอยางดินจากทั้ง 3 แหลงพื้นที่ ประกอบดวย (1) พื้นที่ปลูกพืชที่ไมมีการ
                   จัดระบบอนุรักษดินและน้ํา (2) พื้นที่ปาหรือพื้นที่ไมผลที่ไมมีการรบกวนหนาดิน (ใชสําหรับการอางอิงขอมูล
                   calibration) และ (3) พื้นที่ปลูกพืชของเกษตรกรที่มีการจัดระบบอนุรักษดินและน้ําที่ออกแบบโดยกรมพัฒนา

                   ที่ดิน แบง transaction หรือ ระยะการเก็บตัวอยางดิน ตามประเภทของความลาดชัน คือ (1) บริเวณ summit
                   (2) บริเวณ shoulder (3) บริเวณ backslope (4) บริเวณ footslope และ (5) บริเวณ toeslope ที่ระดับความลึก
                   ของดิน 3 ระดับ ประกอบดวย (1) 0 ถึง 10 เซนติเมตร (2) 10 ถึง 20 เซนติเมตร และ (3) 20 ถึง 30 เซนติเมตร
                   โดยเก็บขอมูลแบงตามชวงระยะเวลาได 3 ชวง ไดแก (1) เก็บขอมูลครั้งที่ 1 (เดือนเมษายน) (2) เก็บขอมูลครั้งที่
                   2 (เดือนมิถุนายน) และ (3) เก็บขอมูลครั้งที่ 3 (เดือนสิงหาคม) เสร็จเรียบรอยแลวนั้น ไดทําการวิเคราะหสมบัติ
                   ทางเคมีของดิน ไดแก pH EC OM P K Ca และ Mg ซึ่งผลการทดลองที่ไดสามารถอธิบายได ดังนี้


                   1.1 คาความเปนกรดเปนดางของดิน (pH)
                          คาเฉลี่ยของคาความเปนกรดเปนดางของดิน (pH) ในการเก็บขอมูลครั้งที่ 1 (เดือนเมษายน) พบวา
                   พื้นที่ทดลองทั้งสามแหลงมีความแตกตางกันของคา pH อยางมีนัยยะสําคัญทางสถิติ ที่ระดับความเชื่อมั่น 0.01
                   กลาวคือ พื้นที่ปลูกพืชที่ไมมีการจัดระบบอนุรักษดินและน้ํา  พบวามีคาเฉลี่ย pH นอยที่สุด (pH มีคาเทากับ
                   4.83) รองลงมาคือ พื้นที่ปายางพาราที่ไมมีการรบกวนหนาดิน  ที่สุด (pH มีคาเทากับ 5.04) และพื้นที่ปลูกพืช
                   ของเกษตรกรที่มีการจัดระบบอนุรักษดินและน้ําที่ออกแบบโดยกรมพัฒนาที่ดิน  มีคาเฉลี่ย pH สูงที่สุด เทากับ

                   5.71
                          จากขอมูลในตารางที่ 3 พบวาคาเฉลี่ย pH เมื่อเปรียบเทียบกับประเภทของความลาดชันและระดับ
                   ความลึก ไมมีความแตกตางกันอยางมีนัยยะสําคัญทางสถิติ ซึ่งอธิบายแยกตามพื้นที่ศึกษาได ดังนี้

                          พื้นที่ปลูกพืชที่ไมมีการจัดระบบอนุรักษดินและน้ํา  สามารถเรียงลําดับคาเฉลี่ย pH จากทุกระดับความ
                   ลึกตามประเภทความลาดชันจากคาสูงสุดไปต่ําสุดได คือ Toeslope > Footslope > Backslope > Summit >
                   Shoulder ตามลําดับ โดยที่บริเวณ Toeslope ซึ่งเปนตําแหนงต่ําที่สุด มีคาเฉลี่ย pH สูงที่สุด (เทากับ 4.91 5.03
                   และ 5.10 ที่ระดับความลึก 0 - 10 10 – 20 และ 20 – 30 เซนติเมตร ตามลําดับ)
                          พื้นที่ปายางพาราที่ไมมีการรบกวนหนาดิน  สามารถเรียงลําดับคาเฉลี่ย pH จากทุกระดับความลึกตาม

                   ประเภทความลาดชันจากคาสูงสุดไปต่ําสุดได คือ Backslope > Shoulder > Footslope > Summit >
                   Toeslope ตามลําดับ พบคาเฉลี่ย pH สูงสุด ณ ตําแหนง Backslope (เทากับ 5.07 5.17 และ 5.15 ที่ระดับ
                   ความลึก 0 - 10 10 – 20 และ 20 – 30 เซนติเมตร ตามลําดับ)
                          พื้นที่ปลูกพืชของเกษตรกรที่มีการจัดระบบอนุรักษดินและน้ําที่ออกแบบโดยกรมพัฒนาที่ดิน  สามารถ
                   เรียงลําดับคาเฉลี่ย pH จากทุกระดับความลึกตามประเภทความลาดชันจากคาสูงสุดไปต่ําสุดได คือ Footslope >

                   Backslope > Toeslope > Summit > Shoulder ตามลําดับ พบคาเฉลี่ย pH สูงสุด ณ ตําแหนง Footslope
                   (เทากับ 5.86 5.81 และ 5.94 ที่ระดับความลึก 0 - 10 10 – 20 และ 20 – 30 เซนติเมตร ตามลําดับ)
   26   27   28   29   30   31   32   33   34   35   36