Page 21 - นวปฏิบัติตามความสมัครใจเพื่อการจัดการดินอย่างยั่งยืน (Voluntary Guidelines for Sustainable Soil Management) : แปลจากเอกสารเผยแพร่ เรื่อง "Revised World Soil Chartar" ขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization (FAO) of the United Nations)
P. 21
Voluntary Guidelines for Sustainable Soil Management 13
• เครื่องจักรและยานยนต์ที่ใช้ในภาคสนามควรปรับให้ตรงกับสมรรถภาพความทนทานของดินและควรติดตั้งระบบ
ควบคุมแรงดันลมยางหรือวิธีการอื่นๆ เพื่อลดแรงดันพื้นผิว (เช่น พื้นที่สัมผัส) ทั้งนี้ในระหว่างดำเนินกิจกรรมด้าน
ป่าไม้ ควรหลีกเลี่ยงและจำกัดการใช้เครื่องจักรกลหนักและควรใช้เสื่อปูพื้นที่ (brush mats) เพื่อช่วยปกป้องดินที่
สัมผัสจากความเสียหายทางกายภาพ ส่วนกิจกรรมในดินทางการเกษตร ควรมีการกำหนดทิศทางการเดินรถ
• ควรเลือกระบบการปลูกพืชที่มีการใช้พืชไร่ หญ้า และพืชในระบบวนเกษตรที่มีรากที่แข็งแรง (ระบบรากที่หนาแน่น
และเป็นเส้นใย) เพื่อให้สามารถเจาะชอนไชและสลายดินที่มีการอัดตัวแน่นได้
• ควรรักษาปริมาณอินทรียวัตถุในดินให้เพียงพอ เพื่อปรับปรุงและสร้างความมั่นคงให้กับโครงสร้างดิน
• ควรส่งเสริมกิจกรรมของสิ่งมีชีวิตและจุลินทรีย์ในดิน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื้อรา) เพื่อปรับปรุงความพรุนของดิน
สำหรับการถ่ายเทอากาศ การซึมผ่านของน้ำ การถ่ายเทความร้อน และการเจริญเติบโตของราก
• ในระบบทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ ควรมีการดูแลพืชคลุมดินให้มีปริมาณเพียงพอเพื่อป้องกันดินจากการเหยียบย่ำและ
การพังทลาย โดยควรคำนึงถึงความรุนแรงและช่วงเวลาการเก็บเกี่ยวหญ้า ชนิดของสัตว์ และอัตราการเก็บเกี่ยว
3.10 การปรับปรุงระบบการจัดการน้ำในดิน
ดินที่มีการจัดการอย่างยั่งยืนจะมีการแทรกซึมของน้ำอย่างรวดเร็ว ปริมาณการกักเก็บน้ำในดินมีความเหมาะสมต่อ
ความต้องการของพืช และเมื่อดินอิ่มตัวจะมีการระบายน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อการจัดการไม่ได้ตาม
เงื่อนไขเหล่านี้ ปัญหาน้ำขังและการขาดแคลนน้ำก็จะเกิดขึ้น โดยน้ำขังจะสร้างปัญหาต่อการสร้างระบบรากของพืช เป็น
สาเหตุให้ผลผลิตพืชลดลง และอาจทำให้เกิดสารปนเปื้อน เช่น สารหนูและเมธิลเมอร์คิวรี่ที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ในดิน ในทาง
กลับกัน การขาดแคลนน้ำ การไหลบ่าของน้ำและการซึมผ่านชั้นดิน อาจทำให้การผลิตพืชล้มเหลวได้
• ในพื้นที่เขตชื้นที่มีฝนตกเกินกว่าการคายระเหย จำเป็นต้องมีระบบการระบายน้ำเพิ่มเติมเพื่อให้การระบายอากาศใน
ดินเหมาะสมสำหรับกิจกรรมต่างๆ ของราก เช่น การดูดใช้ธาตุอาหาร เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในดินเนื้อละเอียด
ที่มีความสามารถในการกักเก็บน้ำสูง
• ควรติดตั้งและบำรุงรักษาระบบระบายน้ำผิวดินและในชั้นดินเพื่อควบคุมระดับน้ำใต้ดินที่เพิ่มสูงขึ้น เพื่อบรรเทา
การเกิดน้ำขัง
• ควรเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้น้ำชลประทานของพืชด้วยการปรับปรุงระบบการกระจายน้ำ การปล่อยน้ำ และ
กรรมวิธีการใช้น้ำในแปลงที่เหมาะสม (เช่น การให้น้ำหยดหรือการชลประทานแบบไมโครสเปรย์) ที่ลดการระเหย
และการสูญเสียน้ำลงในชั้นดินล่าง รวมถึงการคาดการณ์การกักเก็บน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ใช้พันธุ์พืชที่เหมาะสม
หรือมีตัวเลือกที่หลากหลาย และคำนวณระยะเวลาการกักเก็บน้ำและปริมาณน้ำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
• ระบบการปลูกพืชในพื้นที่แห้งแล้ง ควรปฏิบัติตามมาตรการที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ เช่น การจัดการพืช
คลุมดิน และเพิ่มการกักเก็บน้ำที่เป็นประโยชน์ในพื้นที่ในช่วงการเพาะปลูกพืช การลดปริมาณน้ำท่าและการระเหย
ของน้ำจากพื้นผิวดิน และต้องให้ความมั่นใจว่ามีน้ำเพียงพอในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการผลิตพืช อย่างไรก็ตาม
มาตรการต่างๆ เหล่านี้มักมีทั้งข้อดีและข้อเสีย จึงควรมีการศึกษาและจัดการความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นอย่างเหมาะสม
• ควรส่งเสริมการใช้น้ำในดินอย่างเหมาะสมโดยการคัดเลือกและปลูกพืชสายพันธุ์ที่เหมาะกับสภาพพื้นที่ และควรมี
ปฏิทินการดำเนินงานทางการเกษตรซึ่งสอดคล้องกับแผนการจัดการน้ำ
• ตรวจสอบคุณภาพน้ำชลประทานอย่างสม่ำเสมอเพื่อศึกษาและติดตามปริมาณธาตุอาหารและสารประกอบ ที่อาจ
เป็นอันตรายในน้ำ