Page 106 - แนวทางการศึกษาดินตัวแทนหลักสำหรับพัฒนาการเกษตรของประเทศไทย
P. 106

- 99 -


                  ได้แก่ ปูนขาว ปูนโดโลไมต์ ปูนมาร์ล หรือหินปูนฝุ่น ปริมาณการใช้ย่อมขึ้นอยู่กับชนิดของเนื้อดินและค่า
                  ปฏิกิริยาดิน ถ้าเป็นดินด่าง หรือมีค่าปฏิกิริยาดินมากกว่า 7 การแก้ไขจะมีอยู่ 2 กรณี คือ ดินเป็นด่าง เพราะมี

                  ปูนปน หรือเป็นด่างเพราะมีปริมาณเกลือมากจนทําอันตรายต่อพืชที่ปลูก ดินด่างที่มีสาเหตุมาจากการมีปูน
                  ปะปน ส่วนมากจะพบในบริเวณที่มีภูเขาหินปูน ผลของการมีปูนมากเกินไปอาจทําให้พืชตระกูลถั่วขาดธาตุ
                  เหล็ก และทําให้มีผลผลิตต่ํา โดยเฉพาะถั่วลิสงจะมีปัญหามาก อาจแก้ไขโดยการให้ธาตุเหล็กทางใบ พวกน้ํายา
                  เหล็กคีเลทพ่น ส่วนดินด่างที่เป็นพวกดินเค็ม มักแก้ไขปัญหาได้ยากและมีการลงทุนสูง จึงควรเลือกชนิดของพืช

                  ทนเค็มหรือพันธุ์พืชที่ทนเค็มปลูก
                            ค่าปฏิกิริยาดินในสนามสามารถนํามาใช้ในการคาดคะเนค่าความอิ่มตัวเบสได้เช่นกัน จาก

                  การศึกษาของ สุนันท์ (2531) ที่ได้นําค่าปฏิกิริยาดินที่วัดได้ในสนามและผลการวิเคราะห์ค่าร้อยละความอิ่มตัว
                  เบสในหน้าตัดดินเดียวกัน จํานวน 433 ตัวอย่าง มาวิเคราะห์หาความสัมพันธ์โดยใช้หลักทางวิชาสถิติหา
                  สหสัมพันธ์และรีเกรสชั่น และวัดขนาดความสัมพันธ์ได้จากค่า Correlation Coefficient (r) พบว่า มี
                  ความสัมพันธ์ระหว่างร้อยละความอิ่มตัวเบส (% base saturation) และค่าปฏิกิริยาดิน โดยร้อยละความอิ่มตัว
                  เบสมีค่าสูงขึ้นเมื่อค่าปฏิกิริยาดินเพิ่มขึ้น และสามารถสรุปความสัมพันธ์ดังกล่าว ได้ตามระบอบความชื้นดิน

                  ดังนี้
                               1. สภาพความชื้นแบบแอควิก (aquic soil moisture regime) ดินที่มีค่าร้อยละความอิ่มตัว

                  เบส 35% ในชั้นขนาดอนุภาคดินร่วนหยาบ (coarse-loamy) และดินร่วนละเอียด (fine-loamy) ปฏิกิริยาดิน
                  ในสนามจะมีค่า 5.6 ในชั้นขนาดอนุภาคดินทรายแป้งละเอียด (fine-silty) และดินเหนียวปนกรวด (clayey-
                  skeletal) ปฏิกิริยาดินในสนามจะมีค่า 5.8 และชั้นขนาดอนุภาคดินเหนียว (clayey) ปฏิกิริยาดินในสนามจะมี
                  ค่า 5.5

                               2. สภาพความชื้นแบบยูดิก (udic soil moisture regime) ดินที่มีค่าร้อยละความอิ่มตัวเบส
                  35% ในชั้นขนาดอนุภาคดินร่วนละเอียด (fine-loamy) ปฏิกิริยาดินในสนามจะมีค่า 7.7 ชั้นขนาดอนุภาคดิน

                  เหนียว (clayey) ปฏิกิริยาดินในสนามจะมีค่า 10.8 ชั้นขนาดอนุภาคดินร่วนปนกรวด (loamy-skeletal)
                  ปฏิกิริยาดินในสนามจะมีค่า 6.7 และชั้นขนาดอนุภาคดินเหนียวปนกรวด (clayey-skeletal) ปฏิกิริยาดินใน
                  สนามจะมีค่า 8.7

                               3. สภาพความชื้นแบบอัสติก (ustic soil moisture regime) ดินที่มีค่าร้อยละความอิ่มตัวเบส
                  35% ในชั้นขนาดอนุภาคดินร่วน (loamy) ดินเหนียว (clayey) และดินร่วนปนกรวด (loamy-skeletal)
                  ปฏิกิริยาดินในสนามจะมีค่า 5.5 สําหรับชั้นขนาดอนุภาคดินทรายแป้งละเอียด (fine-silty) ปฏิกิริยาดินใน

                  สนามจะมีค่า 3.8 และชั้นขนาดอนุภาคดินเหนียวปนกรวด (clayey-skeletal) ปฏิกิริยาดินในสนามจะมีค่า 5.6
   101   102   103   104   105   106   107   108   109   110   111