Page 101 - แนวทางการศึกษาดินตัวแทนหลักสำหรับพัฒนาการเกษตรของประเทศไทย
P. 101

- 94 -


                            มวลก้อนกลม ก้อนทรงมน หรือ nodule เป็นสารประกอบเคมีที่จับตัวกันแน่นและแข็ง เช่น
                  แคลเซียมคาร์บอเนต หรือเหล็กออกไซด์ ที่แยกออกมาจากตัวดินสะสมเป็นเนื้อเดียวกัน โดยไม่มีการจัดเรียงตัว

                  ภายในเป็นชั้นๆ ส่วนมวลสารพอก หรือ concretion จะเป็นสารประกอบเคมีที่จับตัวกันแน่นและแข็ง เช่น
                  แคลเซียมคาร์บอเนตหรือเหล็กออกไซด์ที่แยกออกมาจากตัวดิน และมีการจัดเรียงตัวภายในเป็นชั้นๆ อาจมี
                  ลักษณะเป็นก้อน เป็นแท่ง หรือเป็นแผ่น เกิดจากการเคลื่อนที่ขึ้น-ลง ของน้ําใต้ดินตามฤดูกาล ทําให้มีการ
                  ปลดปล่อยแร่เหล็ก แมงกานีส ออกจากแร่ปฐมภูมิ เกิดเป็นจุดประและมวลสารพอกสะสมในหน้าตัดดิน

                            หินเหล็กหรือมวลพอกเหล็ก หรือ ironstone เป็นมวลที่เกิดจากการสะสมของเหล็กออกไซด์โดย
                  มีการเชื่อมตัวกัน มีลักษณะคล้ายหินที่ผุพังสลายตัวแต่มีความแข็งแกร่งมาก การเชื่อมประสานนี้เกิดจากเหล็ก

                  และ/หรืออะลูมินัมออกไซด์ บางครั้งอาจมีแมงกานีสรวมอยู่ด้วย ซึ่งอาจเกิดอยู่กับที่หรือเคลื่อนย้ายมาจากที่อื่น
                  ส่วนใหญ่สารเชื่อมนี้เป็นเหล็กออกไซด์ที่มีระบบผลึก มีหลายสี เช่น สีน้ําตาลเข้ม เหลืองปนน้ําตาล หรือแดงปน
                  ม่วง ซึ่งขึ้นอยู่กับปริมาณน้ําที่ปนอยู่ในวัสดุและการเกิดผลึก มวลพอกเหล็กนี้กร่อนได้น้อยมาก

                            พลินไทต์หรือศิลาแลงอ่อน เป็นสารผสมของดินเหนียวกับสารอื่นๆ ที่มีการเชื่อมตัวในสภาวะที่ยัง
                  ไม่แข็ง มีเหล็กอยู่ในปริมาณสูง มีฮิวมัสต่ํา มักมีควอตซ์ เคโอลิไนต์ปนอยู่ด้วย ตามปรกติจะเกิดในดินชั้นล่างใน
                  รูปของจุดประสีแดง อยู่ในสภาพยังไม่แข็งตัวสามารถตัดแต่งเป็นรูปที่ต้องการ เมื่อนําขึ้นมาให้สัมผัสอากาศและ
                  ผ่านกระบวนการที่ทําให้เปียกและแห้งสลับกันไปหลายๆ ครั้ง จะแข็งตัวอย่างถาวร รู้จักกันทั่วไปว่า ศิลาแลง

                               สันต์ (2529) ได้เสนอบรรทัดฐานเพื่อช่วยแยกศิลาแลงอ่อนและสารที่เกิดในรูปของจุดประสี
                  แดง ดังนี้

                               1. เนื้อดิน (Texture) ศิลาแลงอ่อนมีเนื้อดินเป็นดินร่วนปนทรายถึงดินเหนียวปนทราย อาจพบ
                  ดินร่วนปนดินเหนียวบ้าง ส่วนจุดประสีอื่นๆ เป็นได้ทุกเนื้อดิน

                               2. สีดิน (Hue) ศิลาแลงอ่อนมีสี 7.5YR ถึง 10R ส่วนจุดประสีอื่นๆ มีสีระหว่าง 10YR ถึง 10R
                               3. การยึดตัว (Consistence) ศิลาแลงอ่อนเมื่อชื้นจะคงทน (firm) ถึงคงทนมาก (very firm)

                  โดยเฉพาะตอนส่วนกลาง (nucleus) จะคงทนมาก เมื่อแห้งจะแข็ง (hard) ถึงแข็งมาก (very hard) แต่ก็
                  สามารถบีบให้แตกได้ ส่วนจุดประสีอื่นๆ เมื่อชื้นจะร่วนซุย (friable) ถึงคงทน (firm) เมื่อแห้งจะอ่อนนุ่ม (soft)
                  ถึงแข็ง (hard)

                               4. การเป็นขีดหรือเป็นรอย (Streaking) ศิลาแลงอ่อนเมื่อบี้จะมีสีหรือรอยติดนิ้วมือเพียง
                  เล็กน้อยเท่านั้น แม้ว่าจะชื้นก็ตามและจะรู้สึกสากมือ เมื่อใช้ปลายนิ้วกรีดดู จะรู้สึกว่ามีความคงทนมาก ส่วนจุด
                  ประสีอื่นๆ เมื่อบี้ จะพบว่ามีสีติดมือและเห็นลายนิ้วมือ และเมื่อใช้มีดกรีดดู จะมีความทนทานเท่ากับหรือ

                  มากกว่าดินที่อยู่ข้างเคียงเพียงเล็กน้อย
                               5. การยึดตัวเมื่อสังเกตตามหน้าตัดข้างถนน (Consistence on a weathered road cut) ศิลา

                  แลงอ่อนเมื่อทําให้ชื้นจะยังมีความคงทนอย่างยิ่ง (extremely firm) ถึงคงทนมาก และจะแข็งมากถึงแข็งอย่าง
                  ยิ่ง (extremely hard) เมื่อแห้ง ส่วนจุดประสีแดงอื่นๆ ดินส่วนที่เป็นสีแดงและสีน้ําตาล เมื่อทําให้ชื้นจะร่วน
                  ซุยถึงคงทน เมื่อแห้งจะแข็งถึงค่อนข้างแข็ง (slightly hard) และเมื่อนําก้อนที่ชื้นมาคลึงให้เป็นก้อนกลมด้วย
                  นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ จะแตก

                               6. รูปร่างและขนาด (Shape and size) ศิลาแลงอ่อนมีรูปร่างเป็นได้ทั้งแบบเป็นแผ่น (platy)
                  หนา 1.5 เซนติเมตร ความยาวอาจมากถึง 10 เซนติเมตร และเป็นก้อนแบบผิวไม่เรียบ (irregular) หรือเป็น

                  รูปทรงกลม (spheroidal) มีความยาวน้อยกว่า 1.5 เซนติเมตร แต่ไม่น้อยกว่า 2 มิลลิเมตร ส่วนจุดประสีอื่นๆ
                  มีรูปร่างและขนาดใดๆ ก็ได้
   96   97   98   99   100   101   102   103   104   105   106