Page 12 - รายงาน ผลของการใช้ผลิตภัณฑ์ชีวภาพเพื่อเร่งการย่อยสลายตอซังข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ Effect of using biological products for accelerating the degradation of maize stubble
P. 12
ห้องสมุดกรมพัฒนาที่ดิน
6
30 เซนติเมตร เรียกว่า ไหม (silk) ไหมแต่ละเส้นจะมีขนที่สามารถรับละอองเกสรตัวผู้ได้ตลอดความยาว เส้น
ไหมบริเวณโคนฝักจะเกิดขึ้นก่อนตามด้วยส่วนกลางฝัก แต่เส้นไหมบริเวณกลางฝักจะยืดตัวโผล่พ้นกาบหุ้มฝัก
ก่อน จึงได้รับการผสมก่อน ทำให้เมล็ดบริเวณกลางฝักมีความสมบูรณ์และขนาดใหญ่กว่าบริเวณโคน และปลาย
ฝัก ไหมจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล และแห้งเหี่ยวเมื่อดอกได้รับการผสม โดยข้าวโพด 1 ฝัก จะมีไหม 400 - 1,000
เส้น ทำให้เกิดเมล็ด 400 - 1,000 เมล็ด
ผลและเมล็ด ผลเป็นแบบคาร์ออฟซิส (caryopsis) ที่มีเยื่อหุ้มผล (pericarp) ติดอยู่กับส่วนของ
เยื่อหุ้มเมล็ด (seed coat) มีลักษณะเป็นเยื่อบาง ๆ ใส ไม่มีสี เยื่อหุ้มผล และเยื่อหุ้มเมล็ดรวม (hull) ข้าวโพด
จะสะสมแป้งไว้ในส่วนของเอนโดสเปิร์ม ซึ่งการสะสมแป้งจะสิ้นสุดเมื่อข้าวโพดเจริญเติบโตถึงระยะสุกแก่ทาง
สรีรวิทยา โดยจะปรากฏแผ่นเยื่อสีดำ หรือน้ำตาลดำ (black layer) ที่บริเวณโคนของเมล็ด
ข้าวโพดเป็นพืชที่ถูกจำแนกไว้ในกลุ่มที่มีกระบวนการสังเคราะห์แสงแบบ C4 จึงทำให้อัตราการ
สังเคราะห์แสงของข้าวโพดสูง โดยมีจุดคอมเพนเซชันของคาร์บอนไดออกไซด์ (carbon dioxide compensation
point) ต่ำ และอัตราการสังเคราะห์แสงจะเพิ่มขึ้นตามความเข้มของแสงจนถึงสภาพที่มีแสงแดดเต็มที่ โดยจะ
2
ส่งผลให้อัตราการสังเคราะห์แสงของข้าวโพดสูงถึง 60 มก.CO2 /ดม. /ชม. (ยงยุทธ และคณะ, 2551)
3.1.2 อิทธิพลของธาตุอาหารต่อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
ข้าวโพดจะให้ผลผลิตสูงเมื่อได้รับธาตุอาหารอย่างเพียงพอและสมดุล ความต้องการธาตุหลักต่อ
การเจริญเติบโตและการให้ผลผลิตของข้าวโพด (ยงยุทธ และคณะ, 2551) ได้แก่
ไนโตรเจน (N) มีความสำคัญตั้งแต่การเจริญเติบโตของข้าวโพดระยะแรกจนถึงการสร้างเมล็ด โดย
ระยะที่ข้าวโพดต้องการธาตุไนโตรเจนมากที่สุด คือ ระยะที่ข้าวโพดออกดอกตัวผู้และดอกตัวเมีย ซึ่งจากผลการ
วิเคราะห์พืชทางเคมี พบว่า ในช่วงอายุประมาณ 18 - 30 วัน และ 39 - 65 วัน ข้าวโพดมีการดูดใช้ไนโตรเจนสูงถึง
7 และ 50 กิโลกรัมต่อไร่ ตามลำดับ ดังนั้นถ้าในช่วงอายุการเจริญเติบโตดังกล่าว มีปริมาณธาตุไนโตรเจนในดินไม่
เพียงพอ จะส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโต และการให้ผลผลิตของข้าวโพดได้ (กรมวิชาการเกษตร, 2548)
ฟอสฟอรัส (P) ข้าวโพดเป็นพืชที่ตอบสนองต่อปุ๋ยฟอสฟอรัสตลอดฤดูปลูก โดยมีความต้องการ
ในระยะเริ่มแรกมากกว่าในระยะอื่น ๆ ส่วนในระยะที่ข้าวโพดออกดอกตัวผู้และดอกตัวเมีย ธาตุฟอสฟอรัสมี
บทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความสมบูรณ์ให้กับส่วนต้นและเมล็ด นอกจากนี้ยังพบว่า การดูดใช้ธาตุ
ฟอสฟอรัสจากดินของรากข้าวโพดจะเพิ่มขึ้นจนกระทั่งรากเจริญเติบโตเต็มที่ (กรมวิชาการเกษตร, 2548)
อย่างไรก็ตาม ฟอสฟอรัสเป็นธาตุที่มีปัญหาด้านการขาดแคลนในดินไร่ทั่วไป โดยเฉพาะดินที่มีสภาพเป็นกรด
สำหรับอัตราปุ๋ยฟอสฟอรัสที่ควรใส่ เพื่อยกระดับฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์จากเดิม สู่ระดับที่ข้าวโพดต้องการ
พบว่า ระดับวิกฤตของฟอสฟอรัสในดินออกซิโซลส์ จากผลการวิเคราะห์ดินด้วยวิธี Mehlich 1 Bray 1 และ
Bray 2 คือ 6 9 และ 10 มิลลิกรัมฟอสฟอรัสต่อกิโลกรัม ตามลำดับ (ยงยุทธ และคณะ, 2551)
โพแทสเซียม (K) เป็นธาตุอาหารที่มีบทบาทสำคัญต่อการเจริญเติบโตและความแข็งแรงของลำ
ต้น รวมทั้งการสร้างเมล็ด ซึ่งในสภาพดินที่ปลูกข้าวโพดในประเทศไทยส่วนใหญ่มักไม่ค่อยมีปัญหาด้านการขาด
แคลนธาตุโพแทสเซียม โดยธาตุดังกล่าวนอกจากจะมีบทบาทในการสร้างเมล็ดแล้ว ส่วนที่เหลือมักถูกสะสมอยู่
ในลำต้นเป็นส่วนใหญ่ และจะถูกไถกลบลงดินตามเดิม (กรมวิชาการเกษตร, 2548) อย่างไรก็ตาม พื้นที่ที่มีการ
ปลูกข้าวโพดอย่างต่อเนื่องจะมีธาตุโพแทสเซียมอยู่ในเกณฑ์ต่ำ สำหรับระดับวิกฤตของธาตุโพแทสเซียมใน
ดินอัลซิโซลส์ ซึ่งมีเนื้อดินเป็นดินร่วน และดินอัลติโซลส์ซึ่งมีเนื้อดินเป็นดินร่วนปนทรายจะมีระดับวิกฤตของธาตุ
โพแทสเซียมประมาณ 55 และ 45 มิลลิกรัมโพแทสเซียมต่อกิโลกรัม ตามลำดับ (คณาจารย์ภาควิชาปฐพีวิทยา, 2548)