Page 30 - การจัดการปุ๋ยหมักและปุ๋ยชีวภาพร่วมกับน้ำหมักชีวภาพ เพื่อเพิ่มผลผลิตมะละกอฮอลแลนด์ในดินทราย
P. 30
ห้องสมุดกรมพัฒนาที่ดิน
20
อัตราครึ่งหนึ่งตามค าแนะน า (ต ารับที่ 3 5 และ 7) มีปริมาณโพแทสเซียมในดินอยู่ระหว่าง
132 – 189 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม สูงกว่าต ารับที่ใส่ปุ๋ยเคมีเพียงอย่างเดียว (ต ารับที่ 2) มีปริมาณ
โพแทสเซียมที่แลกเปลี่ยนได้ 126 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และไม่ใส่ปัจจัยใดๆ (ต ารับที่ 1) มีปริมาณ
โพแทสเซียมในดินต่ าที่สุด 104 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ดังตารางที่ 1
จากการทดลองจะเห็นได้ว่า ธาตุอาหารหลักจากการใช้ปุ๋ยหมักอัตรา 20 กิโลกรัมต่อต้น
(ต ารับที่ 4 6 และ 8) ในดินทรายช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุ ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม เพิ่มความอุดม
สมบูรณ์ในดินทรายได้ สอดคล้องกับการทดลองของ Weber et al. (2007) พบว่า การใช้ปุ๋ยหมักที่
อัตรา 11.00 ตันต่อไร่ อินทรียวัตถุสามารถปรับปรุงดินทรายให้มีความอุดมสมบูรณ์ เพิ่มปริมาณ
ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียมสูงที่สุดมากกว่าต ารับที่มีการใช้ปุ๋ยหมัก อัตรา 5.54 และ 2.77 ตันต่อ
ไร่ มีความสามารถในการแลกเปลี่ยนประจุบวก และปรับปรุงสมบัติทางกายภาพของดิน ได้แก่
ความพรุน การอุ้มน้ า การดูดยึดน้ า และการซาบซึมน้ าในดินดีขึ้น พืชสามารถน าน้ าไปใช้ในการ
เจริญเติบโตได้หากเกิดสภาวะแห้งแล้ง ฝนทิ้งช่วงได้ และจากรายงานของ Hojati and
Nourbakhsh (2006) ศึกษาการใช้ปุ๋ยหมักจากกากตะกอน และมูลโค เปรียบเทียบกับการใส่
ปุ๋ยเคมีในดินร่วนปนเหนียวพื้นที่แห้งแล้ง - กึ่งแห้งแล้งในการปลูกข้าวโพด ระยะเวลา 4 ปี จากการ
ทดลองการใช้ปุ๋ยหมักทั้ง 2 ชนิด ปุ๋ยหมักเพิ่มอินทรียวัตถุในดินเฉลี่ยเท่ากับ 2.24 เปอร์เซ็นต์ ส่วน
การใส่ปุ๋ยเคมี มีอินทรียวัตถุเท่ากับ 0.51 เปอร์เซ็นต์ ส่วนต ารับที่มีการใช้ปุ๋ยชีวภาพ อัตรา 5
กิโลกรัมต่อต้น (ต ารับที่ 3 5 และ 7) พบว่า มีปริมาณอินทรียวัตถุ ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียมใน
ดินมีปริมาณต่ ากว่าการใช้ปุ๋ยหมัก แต่การใช้ปุ๋ยชีวภาพมีจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพในการปลดปล่อย
ธาตุอาหาร ได้แก่ จุลินทรีย์ตรึงไนโตรเจนปลดปล่อยธาตุอาหารไนโตรเจน จุลินทรีย์ละลายฟอสเฟต
ละลายฟอสฟอรัสในรูปที่ไม่เป็นประโยชน์ให้อยู่ในรูปที่เป็นประโยชน์ จุลินทรีย์ละลายธาตุ
โพแทสเซียมให้อยู่ในรูปที่แลกเปลี่ยนได้ และจุลินทรีย์ผลิตฮอร์โมนส่งเสริมการเจริญเติบโตของ
มะละกอได้ สอดคล้องกับการทดลองของ Khan and Khan (1995) พบว่า หากมีการใส่เชื้อจุลินทรีย์
Meloidogyne incognita และ Fusarium solani มีผลท าให้มีการปลดปล่อยไนโตรเจน ฟอสฟอรัส
และโพแทสเซียมได้เป็นสองเท่าเพิ่มการเจริญเติบโตของมะละกอ
2.4 ปริมาณแคลเซียมในดิน จากการทดลองพบว่า ปริมาณแคลเซียมในดินมีความ
แตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญยิ่งทางสถิติ โดยหลังสิ้นสุดการทดลองต ารับที่มีการใช้ปุ๋ยหมักเพียงอย่าง
เดียว (ต ารับที่ 4) มีปริมาณแคลเซียมในดินสูงที่สุด 3,488 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม มากกว่าต ารับการใช้
ปุ๋ยหมัก ร่วมกับปุ๋ยเคมีอัตราครึ่งหนึ่งตามค าแนะน า (ต ารับที่ 8) และใส่ร่วมกับปุ๋ยเคมีอัตราตาม
ค าแนะน า (ต ารับที่ 6) มีปริมาณแคลเซียมในดิน 3,222 และ 3,131 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ตามล าดับ
มีปริมาณสูงกว่าการใช้ปุ๋ยชีวภาพเพียงอย่างเดียว ร่วมกับการใส่ปุ๋ยเคมีอัตราตามค าแนะน า หรือใส่
ปุ๋ยเคมีอัตราครึ่งหนึ่งตามค าแนะน า (ต ารับที่ 3 5 และ 7) มีค่าอยู่ระหว่าง 1,141 – 1,675 มิลลิกรัม