Page 36 - การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อการสำรวจทรัพยากรดินในพื้นที่สูงบริเวณลุ่มน้ำสาขา น้ำแม่ต้า (ลุ่มน้ำยม)
P. 36
ห้องสมุดกรมพัฒนาที่ดิน
25
2) แผนที่ต้องเขียนให้มีความถูกต้องมากที่สุด การแสดงเนื้อหาต้องชัดเจนจริงๆ โดยเฉพาะ
เรื่องที่ซับซ้อน
3) ในกรณีพื้นที่ที่จะแสดงมีขนาดใหญ่ และมีปริมาณข้อมูลมากจนต้องแสดงในแผนที่หลายฉบับ
อาจจะเกิดรายละเอียดตรงรอยเชื่อมต่อระหว่างแผนที่สูญหายได้
4) เมื่อข้อมูลได้บรรจุลงในแผนที่แล้ว การนําข้อมูลไปใช้ร่วมกับข้อมูลในชุดแผนที่อื่นๆ จะต้องใช้
ค่าใช้จ่าย และเป็นเรื่องยุ่งยากมาก
5) แผนที่ที่พิมพ์ขึ้นเป็นเอกสารข้อมูลเชิงคุณลักษณะที่คงรูป การวิเคราะห์พื้นที่เชิงปริมาณ
ภายในหน่วยพื้นที่ของแผนที่เฉพาะเรื่องจึงทําได้ยากที่สุด นอกจากต้องเริ่มเก็บข้อมูลกันใหม่ เพื่อให้ได้ผลตาม
วัตถุประสงค์เฉพาะในขณะนั้น
ดังนั้น การนําระบบคอมพิวเตอร์มาใช้ในงานผลิตแผนที่ โดยนําแผนที่กระดาษเป็นแผนที่ฐาน
เพื่อการนําข้อมูลเข้าสู่คอมพิวเตอร์ในรูปแบบข้อมูลเชิงตัวเลข (digital data) ซึ่งข้อมูลจากแผนที่จะประกอบด้วย
ข้อมูลเชิงพื้นที่ที่อยู่ในรูปแบบของจุด เส้น หรือพื้นที่ และข้อมูลรายละเอียดอาจจะให้สัญลักษณ์ สีรหัส
ตัวหนังสือ หรือตัวเลขลงในรายละเอียดข้อมูล
4.6 แบบจําลองระดับสูงเชิงเลขของสภาพภูมิประเทศ
การสร้างแบบจําลองระดับสูงเชิงเลข เป็นการนําข้อมูลพื้นที่ผิวเพื่อจําลองสภาพภูมิประเทศของ
พื้นที่โลก ซึ่งจะสามารถทําให้เข้าใจสภาพพื้นผิวของภูมิประเทศ และยังสามารถไปประกอบการวิเคราะห์
ในเรื่องของระดับความสูงการจําลองภาพสามมิติ และการวิเคราะห์งานอุทกศาสตร์ต่อไป โดยทั่วไปนิยมใช้
ข้อมูลเวกเตอร์รูปแบบ triangulated irregular network (TIN) ส่วนข้อมูลแรสเตอร์ (raster) นิยมใช้ข้อมูล
รูปแบบกริด หรือเรียกว่า digital elevation model (DEM) ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีค่าความสูง (สุเพชร, 2555) แต่มี
ผู้ศึกษาบางท่านได้นําไปประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลรูปแบบอื่นๆ ที่ต้องอาศัยค่าเลขประจําพิกัด เช่น
pixel value หรือ Z value เป็นต้น และการประยุกต์ใช้มักนิยมใช้ในการประมาณค่าในช่วง (interpolation)
ได้แก่ ค่าระดับความสูงที่จัดเก็บด้วยจีพีเอส หรือการวัดระดับด้วยวิธี leveling ด้านงานสํารวจ โดยแบบจําลอง
ระดับสูงเชิงเลข สามารถนํามาวิเคราะห์ระดับความสูงต่ําของพื้นที่ ความลาดชันของพื้นที่ สร้างภาพ 3 มิติ
เพื่อแสดงลักษณะภูมิประเทศที่ใกล้เคียงความเป็นจริง
โดยปกติแล้วการจําลองสภาพภูมิประเทศต้องใช้ข้อมูลแบบจําลองพื้นผิวที่ต่อเนื่อง (continuous data)
แตกต่างจากการใช้หน่วยพื้นที่แสดงการใช้ที่ดิน ซึ่งเป็นลักษณะของข้อมูลที่ไม่ต่อเนื่อง (discrete data)
โดยพื้นผิวความสูงที่ต่อเนื่องสามารถแสดงด้วย เส้นชั้นความสูง (contour line) ซึ่งเสมือนเป็นรูปหลายเหลี่ยม
ที่ซ้อนกันอยู่เป็นชั้นๆ อย่างไรก็ตามเส้นชั้นความสูงไม่เหมาะที่จะใช้ในการวิเคราะห์เชิงตัวเลข (numeric analysis)
หรือการทําแบบจําลองมากนัก ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการพัฒนาวิธีการต่างๆ ที่จะสามารถแสดงการแปรเปลี่ยนทาง
ความสูงต่ําของพื้นที่เชิงตัวเลขคือ แบบจําลองความสูงเชิงเลข (digital elevation model: DEM) ซึ่งเป็น
แบบจําลองที่มีแต่ข้อมูลระดับความสูงเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาแบบจําลองภูมิประเทศเชิงเลข
(digital terrain model: DTM) ที่ไม่ได้หมายถึงเฉพาะระดับความสูงเท่านั้น แต่ยังแสดงถึงข้อมูลลักษณะอื่นๆ
ของภูมิประเทศด้วย เช่น ความลาดชัน (slope) ทิศลาดเอียง (aspect) หรือความสูงเชิงเงา (shaded relief)
เป็นต้น แม้ว่า DEM ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อจําลองระดับความสูงของพื้นผิว แต่วิธีนี้ยังสามารถนําไปใช้ในการจําลอง
ความแปรเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องของตัวแปรความสูงตัวอื่นๆ บนพื้นที่สองมิติได้อีกด้วย ซึ่งการแสดงข้อมูล
ความสูงต่ําของพื้นผิวในระบบภูมิสารสนเทศสามารถแสดงได้หลายลักษณะ ได้แก่