Page 35 - การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อการสำรวจทรัพยากรดินในพื้นที่สูงบริเวณลุ่มน้ำสาขา น้ำแม่ต้า (ลุ่มน้ำยม)
P. 35
ห้องสมุดกรมพัฒนาที่ดิน
24
ด้านการจัดการภาวะฉุกเฉินและภัยพิบัติ สิ่งที่จําเป็นมากที่สุดในการจัดการทรัพยากร
สิ่งแวดล้อม และภัยพิบัติในสภาวะฉุกเฉิน คือ การรับรู้ข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้มากที่สุด เพื่อทําการตัดสินใจ
ให้เร็วที่สุด ผิดพลาดน้อยที่สุด และมีประสิทธิผลมากที่สุด โดย GIS ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลในเชิงพื้นที่
ได้อย่างทั่วถึงในเวลาอันรวดเร็ว รวมถึงรายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจําเป็นต่อมาตรการในการป้องกันแก้ไข
นอกจากนี้ยังใช้ GIS วิเคราะห์ถึงผลกระทบต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นอยู่ในรัศมีของการได้รับผลกระทบจากสารพิษ
เป็นต้น รวมทั้งวิเคราะห์ทิศทางวางแผนอพยพผู้คน เส้นทางในการเคลื่อนย้ายอพยพประชาชน การขนส่ง
อุปกรณ์ถุงยังชีพเพื่อช่วยเหลือประชาชน และเพื่อกําหนดนโยบายและกลยุทธ์ในการป้องกัน การวางแผนการ
ช่วยเหลือ ทําการวิเคราะห์หรือสร้างภาพจําลองของเหตุการณ์เพื่อหาสาเหตุได้ทันที ตามสภาพของข้อมูลที่
เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละช่วงเวลา
4.5 การประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์กับการสํารวจและทําแผนที่
สําหรับประเทศไทยระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ได้มีการพัฒนาขึ้นมากในปัจจุบัน แต่ความเป็น
จริงได้มีการศึกษาวิจัยรูปแบบของระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์มาหลายปีแล้ว เพียงแต่ไม่ได้เรียกว่า ระบบ
สารสนเทศภูมิศาสตร์ เช่น การสํารวจและจัดชั้นคุณภาพลุ่มน้ําได้มีการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ที่ดิน
(landuse) ลักษณะพืชพรรณ (vegetation type) ระดับความสูง (elevation) ความลาดชัน (slope) ทิศทาง
ลาดเท (aspect) ธรณีวิทยา (geology) และข้อมูลชุดดิน (soil) ของพื้นที่ลุ่มน้ําที่ศึกษา โดยรวบรวมอยู่ใน
รูปแบบของแผนที่ ซึ่งจัดเป็นระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์แบบหนึ่ง ดังนั้นระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์จึงเป็นเรื่อง
ที่เกี่ยวกับแผนที่ แล้วก่อนที่จะใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์กับเครื่องคอมพิวเตอร์ ได้มีการใช้คอมพิวเตอร์ใน
การผลิตแผนที่ (map processing) โดยเวลาที่มองบนกระดาษ แล้วเห็นเป็นเส้น เป็นแนว เป็นตัวอักษรแสดง
ชื่อสถานที่ และเป็นเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์แสดงลักษณะต่างๆ ของภูมิศาสตร์ อีกทั้งเมื่อพิจารณาดูให้ดี
จะเห็นว่าข้อมูลบนแผนที่นั้น คือ การบอกตําแหน่ง (location index) เช่น ลองจิจูด และละติจูด เป็นต้น
ดังนั้นการผลิตแผนที่คือการเปลี่ยนระบบพิกัดแบบหนึ่งไปเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง รวมทั้งการย่อขยายหรือเปลี่ยน
มาตราส่วนของแผนที่ด้วย ต่อมาภายหลัง ค.ศ. 1960 จึงได้มีการใช้คอมพิวเตอร์ในการทําระบบสารสนเทศ
ภูมิศาสตร์ในเรื่องเกี่ยวกับแผนที่ เพื่อวัตถุประสงค์ 2 อย่าง คือ การสร้างแผนที่และการเรียกค้นหาข้อมูลที่อยู่
ในแผนที่ (ครรชิต, 2535)
การจัดทําแผนที่นั้นมีวิธีการต่างๆ มากมาย อีกทั้งการเรียกค้นแผนที่ก็ไม่ใช่ง่าย และส่วนใหญ่ยัง
ต้องทําด้วยมือ แต่เรื่องที่ยุ่งยากที่สุดสําหรับงานแผนที่และระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ คือ ปริมาณข้อมูล
จํานวนมาก เพราะข้อมูลแสดงตําแหน่งในแผนที่ ซึ่งเรียกว่า ข้อมูลเชิงพื้นที่ (spatial data) ที่ใช้นั้นมีมาก
ตัวอย่างเช่น ในอดีตที่ผ่านมามีผู้คิดทําโครงการเสนอรัฐบาลสหรัฐให้จัดทําระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อเก็บ
ข้อมูลภูมิศาสตร์ของโลก โดยตีตารางกริดเป็นช่องห่างกันช่องละสิบเมตร และเก็บรายละเอียดตรงจุดตัดของ
เส้นบนตารางไว้ในคอมพิวเตอร์ พบว่าต้องใช้เนื้อที่ในการเก็บข้อมูลขนาดเท่ากับตึกสองชั้น โดยใช้ขนาดเนื้อที่
เท่ากรุงเทพมหานครทั้งเมืองจึงจะเก็บข้อมูลได้หมด จากที่กล่าวมาระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์จึงไม่สามารถ
หลีกเลี่ยงการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ได้ในที่สุด
โดยปกติในการจัดทําแผนที่ในรูปแบบแผนที่กระดาษ (paper map) มีข้อจํากัดของรายละเอียดใน
การแสดงผล การเก็บรวบรวมข้อมูลลงในแผนที่กระดาษนั้นอาจจะจําแนกได้เป็นข้อๆ ดังต่อไปนี้ (ศรีสะอาด, 2537)
1) มีการแสดงรายละเอียดหรือข้อมูลอย่างย่อด้วยเหตุที่เนื้อที่บนกระดาษจํากัด เพื่อให้เข้าใจ
ง่ายและนําเสนอได้ง่าย ทําให้ปริมาณข้อมูลเบื้องต้นลดลงอย่างมาก ทําให้รายละเอียดข้อมูลในระดับท้องถิ่น
หลายอย่างสูญหายไปจากระบบข้อมูล