Page 23 - ปุ๋ยอินทรีย์และการใช้ประโยชน์ในประเทศไทย
P. 23
ห้องสมุดกรมพัฒนาที่ดิน
12
2.1 ปัญหาการชะล้างพังทลายของดิน
ตามธรรมชาติการชะล้างพังทลายของดินจะเกิดขึ้นอยู่แล้ว แต่อัตราการแตกกระจายของดิน
เป็นไปอย่างช้าๆ เมื่อมนุษย์เข้าไปเกี่ยวข้องจึงเป็นตัวเร่งท่าให้เกิดความเสื่อมโทรมรวดเร็วขึ้น ได้แก่ การน่า
พื้นที่ที่ไม่เหมาะสมมาใช้ประโยชน์ทางการเกษตร เช่น พื้นที่ที่มีความลาดชันมากกว่า 35 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป
และน่าพื้นที่ดอนที่ง่ายต่อการชะล้างพังทลายมาใช้ในการเพาะปลูกโดยมีมาตรการอนุรักษ์ดินและน้่าที่ถูกต้อง
ตามหลักวิชาการ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติทางกายภาพ เคมี และชีวภาพของดินอย่าง
มาก โดยเฉพาะดินบนซึ่งเป็นส่วนของดินที่มีธาตุอาหารและปริมาณอินทรียวัตถุอยู่มาก เมื่อมีการชะล้าง
พังทลายดินบนถูกชะล้างพัดพาสูญหายไปกับน้่าที่ไหล่บ่าจากพื้นที่สูงลงสู่พื้นที่ต่่าสู่แหล่งน้่า เมื่อเวลาผ่านไป
นานๆ เข้าดินในพื้นที่การเกษตรจะเสื่อมคุณภาพ ผลผลิตพืชที่ปลูกลดลง ถ้าหากไม่มีการแก้ไขปรับปรุงอย่าง
ถูกต้อง ดินจะเกิดการเสื่อมโทรมลงจนไม่สามารถใช้ประโยชน์ปลูกพืชให้ได้ผลผลิตที่เหมาะสมนอกจากนี้ยัง
ก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบนิเวศน์ที่ท่าให้แม่น้่าล่าคลองตื้นเขิน โดยกรมพัฒนาที่ดิน (2543ก) ได้
ประเมินการชะล้างพังทลายของดินในประเทศไทยจากการใช้สมการสูญเสียดินสากล (universal loss
equation: USLE) และรายงานไว้ว่าพื้นที่ส่วนต่างๆ ของประเทศมีอัตราการสูญเสียดินอยู่ระหว่าง 0 – 50
ตันต่อไร่ต่อปี โดยแต่ละภาคจะมีอัตราการสูญเสียดินมากน้อยแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัย ลักษณะของดิน
ภูมิอากาศ ภูมิประเทศ พืชพรรณที่ขึ้นปกคลุม และมาตรการในการอนุรักษ์ดินและน้่า พบว่า ภาคใต้มีการ
กร่อนของดินสูงกว่าภาคอื่นคือ พื้นที่ส่วนใหญ่มีการสูญเสียดินระหว่าง 0 – 50 ตันต่อไร่ต่อปี ขณะที่
ภาคเหนือพื้นที่ส่วนใหญ่มีการสูญเสียดินระหว่าง 0 – 38 ตันต่อไร่ต่อปี ภาคกลางพื้นที่ส่วนใหญ่มีการสูญเสีย
ดินระหว่าง 0- 17 ตันต่อไร่ต่อปี ภาคตะวันออกพื้นที่ส่วนใหญ่มีการสูญเสียดินระหว่าง 0 – 16 ตันต่อไร่ต่อปี
ภาคตะวันตกพื้นที่ส่วนใหญ่มีการสูญเสียดินระหว่าง 0 – 10 ตันต่อไร่ต่อปี และภาคตะวันออกเฉียงเหนือมี
การสูญเสียดินต่่าที่สุด ส่วนใหญ่อยู่ระหว่าง 0 – 4 ตันต่อไร่ต่อปี รวมพื้นที่ที่ต้องได้รับการดูแล ป้องกันและ
รักษาไว้จากการเกิดการชะล้างพังทลายประมาณ 134.54 ล้านไร่ หรือเท่ากับร้อยละ 41.95 ของพื้นที่ทั้งหมด
ของประเทศ
2.2 ปัญหาดินเสื่อมความอุดมสมบูรณ์
ดินเสื่อมความอุดมสมบูรณ์ มีสาเหตุมาจากวัตถุต้นก่าเนิดดินส่วนใหญ่ของประเทศไทยมีแร่ธาตุ
อาหารพืชเป็นองค์ประกอบที่ต่่า ประกอบกับประเทศไทยอยู่ในเขตร้อนที่มีฝนตกชุกการสลายตัวของแร่ธาตุ
ต่างๆ เปลี่ยนสภาพได้เร็วและชะล้างไปกับน้่าได้ง่าย อีกทั้งการใช้ที่ดินอย่างไม่ถูกวิธี มีการจัดการดินไม่
เหมาะสม โดยปราศจากการปรับปรุงบ่ารุงดินอย่าเหมาะสมและต่อเนื่อง ท่าให้ธาตุอาหารพืชซึ่งแต่เดิมมี
น้อยอยู่แล้วถูกพืชดูดใช้ไปในการเจริญเติบโตเสียเป็นส่วนใหญ่ เมื่อมีการน่าผลผลิตของพืชออกจากพื้นที่ย่อม
ท่าให้ธาตุอาหารในดินสูญเสียไปผลผลิตด้วย ดังรายงานของสรสิทธิ (2535) ได้ชี้ให้เห็นว่าผลผลิตของข้าวใน
นา 1 ตัน จะท่าให้ดินสูญเสียปุ๋ยไนโตรเจน (N) ไป 20 กิโลกรัม ฟอสฟอรัส (P O ) 11 กิโลกรัม และ
2 5
โพแทสเซียม (K O) 27 กิโลกรัม ซึ่งควรจะต้องชดเชยโดยใส่ปุ๋ยเคมีประมาณ 100 กิโลกรัม หรือปุ๋ยอินทรีย์
2
จ่านวน 4,000 กิโลกรัม จึงจะสมดุลกับที่สูญเสียไป แต่เกษตรกรได้ใส่ปุ๋ยทดแทนในอัตราที่ต่่ามาก จึงมีผล
ให้ความอุดมสมบูรณ์ของดินลดลง ในขณะเดียวกันในกรณีของพืชส่าคัญทางเศรษฐกิจ 4 ชนิด คือ ข้าว อ้อย
ข้าวโพด และมันส่าปะหลัง ในปี 2519 ได้ดูดซึมปุ๋ยในดินติดไปกับผลผลิตจากพื้นที่เพาะปลูก 68.8 ล้านไร่