Page 94 - แนวทางการศึกษาดินตัวแทนหลักสำหรับพัฒนาการเกษตรของประเทศไทย
P. 94

- 87 -


                            ช่องว่างในดิน ส่วนใหญ่เกิดจากการจับตัวกันของอนุภาคปฐมภูมิ จากรูปร่างที่ขรุขระไม่แน่นอน
                  หรือจากรูปร่างที่เป็นเหลี่ยมของอนุภาคแร่ จากอิทธิพลของรากพืช จากรูของแมลง หนอน และสัตว์อื่นๆ ในดิน

                  การมีช่องว่างในดิน เรียกว่า ความพรุน (porosity) ของดินและมีความสัมพันธ์กับความหนาแน่นรวม (bulk
                  density) ของดิน สามารถแบ่งช่องว่างในดินอย่างกว้างๆ ได้ 2 ขนาดที่มีหน้าที่สําคัญต่างกัน
                               1. ช่องว่างขนาดใหญ่ (macropores) มีขนาดตั้งแต่ 50 ไมโครเมตรขึ้นไป น้ําและอากาศ

                  สามารถเคลื่อนที่ได้ดี เป็นที่อยู่ของรากพืช เป็นทางให้น้ําแทรกซึมและเคลื่อนที่ระบายออกไปจากดินและเป็น
                  ช่องว่างสําหรับการถ่ายเทอากาศ เรียกว่า ช่องว่างระบายน้ํา (drainage pores) หรือช่องว่างถ่ายเทอากาศ
                  (aeration pores)

                               2. ช่องว่างขนาดเล็ก (micropores) มีขนาด 0.5-50 ไมโครเมตร ทําหน้าที่ดูดยึดน้ําที่เป็น
                  ประโยชน์ไว้ในดินให้พืช เรียกว่าช่องว่างเก็บกักน้ํา (storage pores) ซึ่งน้ําจะไหลผ่านได้ยาก

                            ดินประเภทดินทรายหรือทรายแป้งซึ่งเป็นเนื้อดินหยาบหรือค่อนข้างหยาบ อนุภาคของดินมีขนาด
                  ใหญ่ พื้นที่ผิวภายในของดินมีค่าน้อย ทําให้ดูดซับน้ําได้น้อย และช่องระหว่างอนุภาคมีขนาดใหญ่ ทําให้ดูดน้ํา
                  ด้วยแรงต่ํา ช่องว่างขนาดใหญ่จะมีจํานวนมาก โดยมีช่องว่างอยู่ระหว่าง 35–50 เปอร์เซ็นต์ ดินระบายน้ําได้ดี

                  เนื่องจากส่วนมากจะมีอากาศบรรจุอยู่ และดินระบายอากาศดี เนื่องจากดินมีช่องอากาศมากและมีความ
                  ต่อเนื่องถึงกัน ส่วนดินเหนียวที่อนุภาคของดินมีขนาดเล็ก มีเนื้อดินละเอียด พื้นที่ผิวภายในของดินมีค่ามาก ทํา
                  ให้ดูดซับน้ําได้มาก และช่องระหว่างอนุภาคมีขนาดเล็ก ทําให้ดูดน้ําด้วยแรงสูง จะมีช่องว่างขนาดเล็กอยู่เป็น
                  จํานวนมากซึ่งมีช่องว่างอยู่ระหว่าง 40–60 เปอร์เซ็นต์ ดินระบายน้ําไม่ดี ส่วนมากจะมีน้ําขังอยู่ และดินระบาย
                  อากาศไม่ดี เนื่องจากมีช่องอากาศน้อยและไม่มีความต่อเนื่องถึงกัน สําหรับดินที่อัดตัวแน่นจะมีช่องว่างทั้งหมด

                  อยู่เพียง 25–30 เปอร์เซ็นต์

                            ดรุณี และคณะ (2552) ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อดินกับความหนาแน่นรวม (bulk
                  density) และความพรุนรวม (total porosity, E) ของดิน พบว่า ดินทุกชนิดที่ค่าความพรุนรวมเท่ากับ 50%
                  จะมีค่าความหนาแน่นรวมของดินใกล้เคียงค่า 1.3 กรัม/ลูกบาศก์เซนติเมตร ดังนั้น สามารถใช้ค่าความ
                  หนาแน่นรวมของดิน ที่ 1.3 กรัม/ลูกบาศก์เซนติเมตร เป็นตัวชี้วัดว่า ดินทุกชนิดเริ่มมีความแน่นทึบเพิ่มขึ้น ซึ่ง
                  จะไม่เหมาะต่อการเพาะปลูกพืช ถ้ามีความหนาแน่นรวมของดินมากกว่า 1.3 กรัม/ลูกบาศก์เซนติเมตร

                            การศึกษาเกี่ยวกับช่องว่างในดิน จะเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับการเกษตรสําหรับการปลูกพืช
                  เศรษฐกิจเป็นอย่างมาก เนื่องจากสัดส่วนของช่องขนาดต่างๆ จะช่วยสื่อความหมายถึงพฤติกรรมของดิน ดินมี

                  การระบายน้ําและอากาศเป็นอย่างไร มีความเสี่ยงสําหรับการขาดแคลนน้ําหรือการมีน้ําท่วมขังหรือไม่

                            ฎ. การศึกษารากพืช (Plant Roots)

                            ชนิด ขนาดและปริมาณของรากพืชจะช่วยคาดคะเนสมบัติของดินบางประการ ปกติรากพืชจะ
                  เจริญไม่ค่อยดีในดินที่มีความชื้นและธาตุอาหารพืชน้อย ในสภาวะที่ดินเป็นกรดจัดจะจํากัดการเจริญเติบโตของ
                  รากพืชเช่นเดียวกัน การศึกษารากพืชจะบอกถึงปริมาณ ขนาดและบริเวณที่พบ

                               1. ปริมาณ ให้นับจํานวนรากพืชต่อหน่วยพื้นที่ สําหรับขนาดเล็กมาก (very fine) และขนาด
                  เล็ก (fine) ใช้หน่วยพื้นที่ 1 ตารางเซนติเมตร ขนาดปานกลาง (medium) และขนาดใหญ่ (coarse) ใช้หน่วย
                                                2
                  พื้นที่ 1 ตารางเดซิเมตร (100 ซม. ) และขนาดใหญ่มาก (very coarse) ใช้หน่วยพื้นที่ 1 ตารางเมตร ชั้น
                  ปริมาณของรากพืช แบ่งออกเป็น
                                  น้อย (Few)  มีรากน้อยกว่า 1 รากต่อหน่วยพื้นที่

                                  ค่อนข้างมาก (Common)  มีราก 1-5 รากต่อหน่วยพื้นที่
   89   90   91   92   93   94   95   96   97   98   99