Page 47 - การศึกษาการพัฒนาการจัดการพื้นที่ตามหลักทฤษฎีใหม่เพื่อการเกษตรในพื้นที่เสี่ยงภัยแล้งของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
P. 47
ห้องสมุดกรมพัฒนาที่ดิน
15
หลีกเลี่ยงถ่านชีวภาพเมื่อมีการใส่ในอัตราที่สูง (100 ตันต่อเฮกตาร์) เพียงวันที่ 2 ของการใส่ นี้อาจ
เป็นการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงความเป็นประโยชน์ของน้ำหรือการกำจัดคุณสมบัติต่าง ๆ
(Hagner et al., 2016) อย่างไรก็ตาม Husk and Major (2010) ได้รายงานว่าการใส่ถ่านชีวภาพมีผล
ด้านบวกต่อจำนวนประชากรของไส้เดือนดินเมื่อใส่ถ่านชีวภาพที่อัตรา 3.9 ตันต่อเฮกตาร์ ในขณะที่
Tammeorg et al. (2014) ไม่พบความแตกต่างทางสถิติของการเปลี่ยนแปลงของไส้เดือนดินใน
การศึกษาแปลงทดลองภายหลังการใส่ถ่านชีวภาพ 6 เดือน อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องมีการศึกษา
ผลในสภาพแปลงทดลองในระยะยาวเพื่อให้เข้าใจผลของถ่านชีวภาพต่อไส้เดือนดินอย่างชัดเจนขึ้น
1.4.4 การวางแผนการให้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพในการผลิตข้าว
การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นมีความรุนแรงมาก โดยเฉพาะการตกของฝน
ที่แปรปรวนยากต่อการคาดการณ์ ซึ่งจากสถิติการตกฝนของประเทศและรายภาคในรอบ 10 ปีที่ผ่าน
มา (พ.ศ. 2553 ถึง 2562) พบว่าปริมาณน้ำฝนไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง แต่จำนวนวันฝนตกลดลง
(สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2563) แสดงให้เห็นว่าการตกของฝนแต่ละครั้งมีความรุนแรงมากขึ้น
สอดคล้องกับ Sukanya et al. (2018) ซึ่งการทำการเกษตรโดยเฉพาะการทำนาในส่วนของภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นแบบอาศัยน้ำฝนหลัก จึงได้ความเสี่ยงจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นสูง
รายงานวิจัยภายใต้การเพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวของเกษตรกรต่อการเปลี่ยนแปลง
สภาพภูมิอากาศในระบบการผลิตข้าวนาน้ำฝนอย่างยั่งยืน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (สมหมาย
และคณะ, 2556) สรุปได้ว่าเกษตรกรส่วนใหญ่รับรู้ถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากสถานการณ์ความ
แปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ และได้มีการปรับเปลี่ยน ยอมเสียพื้นที่สำหรับเป็นแหล่งน้ำสำรองมาก
ขึ้น ในรูปแบบต่างๆ ตามการส่งเสริมของหน่วยงานหรือโดยการลงทุนด้วยตนเอง ซึ่งรูปแบบการ
จัดการฟาร์ม แบบโคกหนองนา โมเดล ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่เป็นต้นแบบในการบริหารจัดการน้ำ
ในพืนที่ ซึ่งการปลูกพืชให้ประสบความสำเร็จนั้นมีปัจจัยที่สำคัญ 2 ปัจจัยคือ น้ำ และดิน ซึ่งใน
ปัจจุบันได้มีการนำเทคโนโลยีต่างๆเข้ามาศึกษาและช่วยในการบริการจัดการน้ำและดินในพื้นที่หลาย
แบบ และการนำแบบจำลอง Agro-ecological Zones (AEZs) ที่ได้รับการพัฒนาจากองค์การอาหาร
และการเกษตรแห่งสหประชาชาติ ซึ่งใช้ประเมินเสถียรภาพการใช้พื้นที่ โดยส่วนประกอบของ
แบบจำลองนี้ส่วนหนึ่งเป็นแบบจำลองสมดุลน้ำ ซึ่ง Inthavong et al. (2011) ได้รับการพัฒนาและ
มาประยุกต์ใช้ในการประเมินความชื้นของดินนา
แม้ว่าเกษตรจะรับรู้ถึงผลกระทบของความแปรปรวนของฝน โดยมีการปรับพื้นที่ให้มีแหล่ง
น้ำสำรองมากขึ้น แต่ลักษณะเนื้อดินนาส่วนใหญ่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นดินปนทราย
มีอินทรียวัตถุต่ำ จึงมีความจุในการอุ้มน้ำได้น้อย (Homma et al., 2007; Tsubo et al., 2007) และ
พฤติกรรมการทำนาของเกษตรกรส่วนใหญ่ จะเริ่มต้นปลูกตามการตกของฝนหรือตามเวลาการปฏิบัติ
ของรุ่นก่อนที่เคยทำ ซึ่งจากสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศที่กระทบต่อการตกของฝนที่
ขยับถอยไปช่วงท้ายของปี ทำให้ข้าวมีผลกระทบแล้งช่วงต้นฤดูปลูกหรืออาจต้องมีการหว่านซ้ำ ดังนั้น
การศึกษาการเปลี่ยนแปลงความชื้นหรือความสามารถในการอุ้มน้ำของดินโดยการคาดการณ์