Page 50 - การประเมินคุณภาพดินเพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการพื้นที่ ทางการเกษตรที่มีอัตราการชะล้างพังทลายสูงโดยใช้เทคนิคนิวเคลียร์ จังหวัดกาญจนบุรี Assessing soil quality and enhance crop productivity through agriculture management using nuclear techniques in the area of erosion in Kanchanaburi province.
P. 50
ห้องสมุดกรมพัฒนาที่ดิน
44
จากผลขอมูลคาเฉลี่ยปริมาณอินทรียวัตถุในดิน (OM) ทุกชวงเวลา สามารถวิจารณไดวา ความมแตกตาง
ของการจัดการดินในแตละพื้นที่ศึกษาในระดับความลึกของดินทั้งสามระดับความลึก มีผลตอปริมาณอินทรียวัตถุ
ในดิน (OM) กลาวคือ คา OM คือสารประกอบอินทรียมีองคประกอบหลักของธาตุคารบอนและไนโตรเจน ที่เกิด
จากการผุพังยอยสลายของเศษซากพืชและสัตว หมายความวา ถาพื้นที่ใดที่มีการจัดการดิน เชน การปลูกพืชคลุม
ดิน การปลูกพืชปุยสด การเขตกรรม การใสปุยอินทรีย หรือการนํามาตรการอนุรักษดินและน้ําไปใชในพื้นที่ จะ
สงผลใหปริมาณ OM คงสภาพและรักษาไวในดินไดอยางตอเนื่อง
พื้นที่ปายางพาราที่ไมมีการรบกวนหนาดิน แสดงใหเห็นวา การที่มีตนไมหรือพืชปกคลุมหนาดิน
ตลอดเวลา สามารถเพิ่มและคงสภาพสถานะของปริมาณ OM ไวในดินได ในขณะเดียวกัน พื้นที่ปลูกพืชที่มีการ
นํามาตรการอนุรักษดินและน้ําไปใช ก็พบปริมาณ OM ที่ไมแตกตางกัน ซึ่งจะแตกตางกันกับพื้นที่ปลูกพืชทั่วไป
ของเกษตรกร ที่มีปริมาณ OM นอยกวาอยางเห็นไดชัด
เมื่อเปรียบเทียบปริมาณ OM ระหวางชวงระยะเวลาของการเก็บขอมูลและพื้นที่ศึกษาทั้งสามแหลง ดัง
ภาพที่ 19 และ 20 สามารถขยายความได ดังนี้ พื้นที่ปลูกพืชทั่วไป ไมมีความแตกตางกัน แมคาเฉลี่ยปริมาณ
OM จะลดลงแตแนวโนมของปริมาณ OM กับปจจัยดานความลึกของดินไมมีผลแตกตางกันมาก ซึ่งสามารถ
อธิบายไดวา ปริมาณ OM .ในภาพรวม มีการสูญเสียออกจากพื้นที่ไปโดยสิ้นเชิง หรือการถูกชะลางพัดพาปริมาณ
OM ตามแนวราบมากกวาการชะลางพัดพาตามแนวระดับความลึก ในขณะที่แนวโนมปริมาณ OM ของพื้นที่ที่ไม
มีการรบกวนหนาดิน และพื้นที่จัดระบบอนุรักษฯ มีแนวโนมไปในทางเดียวกัน กลาวคือ การเก็บขอมูลครั้งที่ 1
(เดือนเมษายน) และครั้งที่ 2 (เดือนมิถุนายน) ดังภาพที่ 19 (ข) และ (ค) มีแนวโนมที่เหมือนกัน คือ พบปริมาณ
OM บนผิวหนาดินหรือที่ระดับความลึก 0-10 เซนติเมตร มากที่สุด และจัดลดลงตามความลึกของดิน อยางไรก็
ตาม เมื่อเก็บขอมูลครั้งที่ 3 (เดือนสิงหาคม) ปริมาณ OM ในระดับความลึกของดินที่ลึงลงไปกลับพบปริมาณ OM
ที่มากกวาชั้นผิวหนาดิน ซึ่งสามารถอธิบายไดวา ปริมาณน้ําฝนในชวงเดือนสิงหาคม และความสามารถในการซึม
ซาบน้ําของดิน สงผลใหเกิดการชะชางพัดพาปริมาณ OM ใหซึมลงสูชั้นดินมากที่สุด ซึ่งแมวาปริมาณ OM ที่
ระดับความลึก 0-10 เซนติเมตร ในการเก็บขอมูลครั้งที่ 3 (เดือนสิงหาคม) จะนอยกวา ปริมาณ OM ในชวงเวลา
การเก็บขอมูลกอนหนา แตปริมาณ OM ทั้งหมดในพื้นที่ ไมมีการสูญเสียออกไปจากพื้นที่ โดยสังเกตไดจาก
คาเฉลี่ย OM ตามชวงเวลา (ตารางที่ 9 10 และ 11) พื้นที่ที่ไมมีการรบกวนหนาดิน และพื้นที่จัดระบบอนุรักษฯ
มีปริมาณ OM มากกวา พื้นที่ปลูกพืชทั่วไป ของทั้งสามชวงเวลา (ภาพที่ 20)
ปจจัยดานประเภทความลาดชันทั้ง 5 ประเภท มีผลตอปริมาณ OM ดังนี้ พื้นที่ศึกษาทั้งสามแหลงมีการ
สะสมหรือพบปริมาณ OM ที่แตกตางกันไปตามความลาดชันบริเวณตาง ๆ (ภาพที่ 21) กลาวคือ พื้นที่ปลูกพืช
ทั่วไป มีการสะมของ OM โดยเฉลี่ย ณ บริเวณ Toeslope ซึ่งเปนจุดที่ต่ําที่สุดของพื้นที่ ตลอดสามชวงเวลาของ
การเก็บขอมูล (ภาพที่ 21 ก) ในขณะที่พื้นที่ที่ไมมีการรบกวนหนาดิน พบปริมาณ OM โดยเฉลี่ย ณ บริเวณ
Shoulder และ Summit ซึ่งเปนจุดที่เหนือขึ้นไปของพื้นที่ ตลอดทั้งสามชวงเวลาของการเก็บขอมูล (ภาพที่ 21
ข) ซึ่งจะคลายคลึงกับแนวโนมในพื้นที่จัดระบบอนุรักษฯ ที่พบปริมาณ OM โดยเฉลี่ย ณ บริเวณ Shoulder และ
Footslope ซึ่งเปนบริเวณกึ่งกลางของพื้นที่ ตลอดทั้งสามชวงเวลาของการเก็บขอมูล (ภาพที่ 21 ค) ทําใหสรุปได
วา การมีสิ่งปกคลุมหนาดินโดยเฉพาะในชวงฤดูฝน มีผลตอการรักษาปริมาณ OM ในดินไวได เพราะปริมาณ OM
รวมถึงธาตุอาหารพืชอื่น ๆ มักสะสมอยูบริเวณผิวหนาดิน สงผลใหการชะลางพังทลายของชั้นหนาดินโดยฝน
ก็จัสงผลตอการสูญเสียความอุดมสมบูรณของดินไดเชนเดียวกัน โดยสังเกตไดจากภาพที่ 22 ที่มีการเปลี่ยนแปลง
ปริมาณ OM จากบริเวณที่สูงไปสูบริเวณที่ต่ํากวา แตปริมาณ OM ในภาพรวม ยังคงมีมากกวา พื้นที่ทั่วไปที่ไมมี
สิ่งปกคลุมดินใด ๆ เลย