Page 40 - การประเมินคุณภาพดินเพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการพื้นที่ ทางการเกษตรที่มีอัตราการชะล้างพังทลายสูงโดยใช้เทคนิคนิวเคลียร์ จังหวัดกาญจนบุรี Assessing soil quality and enhance crop productivity through agriculture management using nuclear techniques in the area of erosion in Kanchanaburi province.
P. 40

ห้องสมุดกรมพัฒนาที่ดิน

                                                                                                       34


                   คือ พื้นที่ปลูกพืชที่มีการจัดระบบอนุรักษ  > พื้นที่ปลูกพืชทั่วไปที่ไมมีการจัดระบบอนุรักษดินและน้ํา  > พื้นที่ปา
                   ยางพาราที่ไมมีการรบกวนหนาดิน  ทั้งสามชวงเวลาของการเก็บขอมูล (ภาพที่ 18) สามารถอธิบายไดวา คา EC
                   ที่มากขึ้น เกิดจากการจัดการดินของเกษตร ไดแก การปลูกหญาแฝกขวางความลาดเท การปลูกพืชปุยสด การใส
                   ปุยเคมี และการใสปุยอินทรีย เปนตน ซึ่ง พื้นที่ปลูกพืชที่มีการจัดระบบอนุรักษ  มีการปลูกพืชแบบหมุนเวียน

                   และการปลูกพืชแบบสลับที่หลากหลายมากกวา เชน มันสําปะหลัง ขาวโพด เผือก บุก สลับการแถบหญาแฝก
                   และปอเทือง ซึ่งจะแตกตางกับ พื้นที่ปลูกพืชทั่วไปที่ไมมีการจัดระบบอนุรักษดินและน้ํา  ที่ปลูกขาวโพด
                   หมุนเวียนกับสัปปะรด โดยปลอยหนาดินใหโลงในชวงฤดูรอน และใสแตปุยเคมีเพียงอยางเดียว หรือพื้นที่ปา
                   ยางพาราที่ไมมีการรบกวนหนาดิน  ที่ไมมีการจัดการดินใด ๆ
                          นอกจากนี้ คา EC ยังพบมากในชั้นดินบนหรือหนาดิน ซึ่งในชวงของการเก็บขอมูลระยะที่ 1 ในเดือน
                   เมษายน ซึ่งเปนฤดูรอนที่มีปริมาณฝนตกนอย และเปนชวงหลังการเก็บเกี่ยวของเกษตรกร จึงทําใหยังมีธาตุ

                   อาหารหลงเหลืออยูในดินมากที่สุด โดยที่คา EC จะลดลงตามระดับความลึกของดินที่เพิ่มขึ้น (ภาพที่ 15 ก และ
                   ภาพที่ 18 ข) อยางไรก็ตาม ในการเก็บขอมูลครั้งที่ 2 เดือนมิถุนายน ซึ่งเปนชวงฤดูฝนที่มีปริมาณฝนตกมาก คา
                   EC ของพื้นที่จัดระบบอนุรักษ  ในระดับความลึก 10-20 เซนติเมตร มีมากกวาชั้นผิวหนาดิน ซึ่งหมายความวา อา
                   จะเกิดการชะลางหรือพัดพาธาตุอาหารหนาดินใหเคลื่อนที่ลงสูชั้นดินที่ลึกกวา (ภาพที่ 15 ข และภาพที่ 18 ข)
                   โดยเฉพาะอยางยิ่ง คา EC ของพื้นที่จัดระบบอนุรักษ  ในการเก็บขอมูลครั้งที่ 3 เดือนสิงหาคม ซึ่งเปนเดือนที่มี
                   ปริมาณน้ําฝนมากที่สุดของปที่ดําเนินการวิจัย ที่คา EC ที่ระดับความลึก 10-20 เซนติเมตร มีปริมาณมากที่สุด
                   (ภาพที่ 15 ค และภาพที่ 18 ค) โดยพื้นที่ศึกษาอื่น ๆ ไมมีแนวโนมเชนนี้ จึงอาจตีความไดวา พื้นที่จัดระบบ

                   อนุรักษ  ซึ่งมีแถบหญาแฝกขวางความลาดเท และมีการคลุมดินดวยพืช อาจชวยชะลอการชะลางธาตุอาหารพืช
                   ไมใหไหลออกจากพื้นที่เร็วเกินไป จึงทําใหธาตุอาหารหรือสารละลายตาง ๆ เกิดการชะลางในแนวลึกโดยลงสูชั้น
                   หนาตัดดินที่ลึกลงไป
                          ภาพที่ 16 แสดงวา พื้นที่ปลูกพืชทั่วไปที่ไมมีการจัดระบบอนุรักษดินและน้ํา  และ พื้นที่ปายางพาราที่
                   ไมมีการรบกวนหนาดิน  มีการลดลงของคา EC ตามชวงเวลาที่เก็บขอมูล ตั้งแตเดือนเมษายน ถึง เดือนสิงหาคม
                   โดยในพื้นที่จัดระบบอนุรักษ  มีคา EC ที่ระดับความลึก 10-20 เซนติเมตร ในการเก็บขอมูลครั้งที่ 3 เดือน
                   สิงหาคม (ภาพที่ 16 ค) ใกลเคียงกับ คา EC ที่ระดับความลึก 0-10 เซนติเมตร ในการเก็บขอมูลทั้งสองครั้งกอน

                   หนานี้ แสดงถึง การที่ธาตุอาหารพืชถูกชะลางแบบซึมลึกลงไปในชั้นดินลางมากกวาการถูกชะลางแบบแนวขวาง
                   พื้นที่
                          ดวยเหตุนี้ เพื่อความเขาใจเรื่องความแตกตางของคา EC ในดิน จึงตองอธิบายปจจัยดานประเภทของ
                   ความลาดชันประกอบกันดวย จากภาพที่ 17 แสดงคาเฉลี่ยการนําไฟฟาของดิน (EC) เปรียบเทียบระหวาง

                   ประเภทของความลาดชันกับชวงระยะเวลาในการเก็บขอมูลทั้งสามเดือน ปรากฏวา พื้นที่ปลูกพืชทั่วไปที่ไมมีการ
                   จัดระบบอนุรักษดินและน้ํา  มีคา EC สูงที่สุด ณ บริเวณ Summit ในเดือนเมษายน จากนั้น ในเดือนมิถุนายน คา
                   EC ณ บริเวณ Shoulder จึงเริ่มเพิ่มขึ้น และพบคา EC ในเดือนสิงหาคม ณ บริเวณ Toeslope และ Footslope
                   ตามลําดับ (ภาพที่ 17 ก) จึงแสดงใหเห็นวา สารละลายหรือธาตุอาหารพืชในดินของพื้นที่ปลูกพืชทั่วไปนี้  มีการ
                   เคลื่อนยายหรือถูกชะลางจากที่สูงลงมาสูที่ต่ํากวา ตามชวงเวลาและปริมาณน้ําฝน ในขณะที่ พื้นที่ปายางพาราที่
                   ไมมีการรบกวนหนาดิน  มีคา EC ที่คอนขางคงที่ในชวงระยะเวลาเก็บขอมูลเดือนเมษายนและมิถุนายน แตคา EC
                   ไดเพิ่มมีปริมาณที่เพิ่มขึ้น ณ บริเวณ Toeslope ในเดือนสิงหาคม แสดงใหเห็นวาพื้นที่ดังกลาว  มีความคงทนตอ
                   การชะลางหรือพัดพาธาตุอาหารในดินสูงกวาพื้นที่ทั่วไป  และพบการสะสมของปริมาณธาตุอาหารในพื้นที่ต่ํา
                   ที่สุด ในเดือนที่มีฝนตกชุกที่สุด (ภาพที่ 17 ข) พื้นที่ปลูกพืชที่มีการจัดระบบอนุรักษ  มีคา EC คอนขางคงที่ และ

                   กระจายตัวตามระดับความชันมากที่สุด โดยพบปริมาณคา EC ณ บริเวณ Backslope ซึ่งเปนชวงกึ่งกลางของ
                   พื้นที่ ในเดือนเมษายน ถึงมิถุนายน และถึงแมในเดือนสิงหาคม ซึ่งเปนชวงที่ในตกชุกที่สุด คา EC ก็ยังคงมี
                   คาสูงสุด ณ บริเวณ Footslope (ภาพที่ 17 ค) ซึ่งแสดงถึงความสามารถในการขัดขวางการชะลางพังทลายของ
                   ดินในแนวราบไดดีโดยการใชมาตรการอนุรักษดินและน้ําที่เหมาะสม
   35   36   37   38   39   40   41   42   43   44   45