Page 9 - ผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อความชื้นในดินและการเจริญเติบโตของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์บนพื้นที่สูง จังหวัดเชียงใหม่ The Impact of Climate Change on Soil Moisture and the Growth of Maize on Upland of Chiang Mai province.
P. 9
ห้องสมุดกรมพัฒนาที่ดิน
ทะเบียนวิจัยเลขที่ 61-63-18-18-020102-009-108-02-13
ชื่อโครงการวิจัย ผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อความชื้นในดินและการเจริญเติบโต
ของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์บนพื้นที่สูง จังหวัดเชียงใหม่
The Impact of Climate Change on Soil Moisture and the Growth of
Maize on Upland of Chiang Mai province
กลุ่มชุดดินที่ 62 ดินคล้ายชุดดินภูผาม่านที่มีจุดประสีเทา (Phu Pha Man, Ppm-gm)
สถานที่ด าเนินการ ต าบลกองแขก อ าเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่
ผู้ร่วมด าเนินการ นางสาวสมจินต์ วานิชเสถียร Miss Somjin Wanichsathian
นางสาววิชิตา อินทรศรี Miss Wichita Intharasri
นายณรงค์เดช ฮองกูล Mr.Narongdech Hongkul
นายพงศ์ธร เพียรพิทักษ์ Mr.Phongthorn Phianphitak
นายธนัญชย์ ด าข า Mr.Thanun Dumkhum
บทคัดย่อ
ศึกษาผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อความชื้นในดินและการเจริญเติบโตของข้าวโพดเลี้ยง
สัตว์บนพื้นที่สูง จังหวัดเชียงใหม่ ด าเนินการทดลองในพื้นที่ ต าบลกองแขก อ าเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ในปี
พ.ศ. 2561 - 2563 มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปริมาณความชื้นในดิน และความถี่ของการให้น้ า ที่เหมาะสมต่อการ
เจริญเติบโตและผลผลิตของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ศึกษาวัสดุคลุมดิน และการจัดการดินที่เหมาะสม ต่อการรักษา
ความชื้นในดินที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และศึกษาวิธีการบริหารจัดการน้ าใน
การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ให้เพียงพอตลอดอายุปลูก ด้วยวิธีการจัดการดินและน้ าที่แตกต่างกัน วางแผนการทดลอง
แบบ split-plot ประกอบด้วย main plot คือ การคลุมดิน และ sub-plot คือ การให้น้ า จ านวน 3 ซ้ า โดย main
plot ประกอบด้วย M1: ไม่คลุมดิน และ M2: คลุมดินด้วยฟางข้าวและใส่ปุ๋ยคอก และ sub-plot ประกอบด้วย S1:
ไม่ให้น้ า S2: ให้น้ าทุกวัน S3: ให้น้ าทุก 2 วัน S4: ให้น้ าทุก 3 วัน และ S5: ให้น้ าทุก 4 วัน จากการศึกษาพบว่า
วิธีการคลุมดินท าให้ความหนาแน่นรวมของดินมีค่าต่ ากว่าวิธีการที่ไม่คลุมดิน แต่วิธีการคลุมดินท าให้ความชื้นในดิน
ความเป็นกรดเป็นด่างของดิน ปริมาณอินทรียวัตถุในดิน ปริมาณฟอสฟอรัสในดิน และปริมาณโพแทสเซียมในดินมีค่า
สูงขึ้นและมีค่าสูงกว่าวิธีการที่ไม่คลุมดิน ส่วนวิธีการที่ไม่ให้น้ าท าให้ปริมาณฟอสฟอรัสในดินในปีที่ 2 มีค่าสูงสุด
ขณะที่วิธีการที่ให้น้ าทุกวันท าให้ปริมาณโพแทสเซียมในดินในปีที่ 1 มีค่าสูงสุด ส่วนผลการศึกษาองค์ประกอบผลผลิต
ของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ พบว่าการคลุมดินและการให้น้ าที่ระยะเวลาต่างกันไม่แตกต่างกันทางสถิติ แสดงว่าไม่มีผลต่อ
ความกว้างฝัก ความยาวฝัก จ านวนแถวต่อฝัก จ านวนเมล็ดต่อแถว และน้ าหนัก 100 เมล็ด ของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
ผลการศึกษาอิทธิพลของการคลุมดินและการให้น้ า พบว่าไม่มีปฏิกิริยาสัมพันธ์ต่อกัน ไม่มีผลท าให้มีความ
แตกต่างกันทางสถิติ วิธีการคลุมดินในปีที่ 2 และ 3 มีปริมาณผลผลิตเฉลี่ยสูงกว่าวิธีการไม่คลุมดิน ส าหรับวิธีการให้
น้ าพืชในปีที่ 1 และปีที่ 3 ผลวิเคราะห์ทางสถิติพบว่าไม่แตกต่างกันทางสถิติ ขณะที่ในปีที่ 2 ผลวิเคราะห์ทางสถิติ
พบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ โดยวิธีการที่ให้น้ าทุก 4 วัน มีปริมาณผลผลิตเฉลี่ยสูงสุด 1,390
กิโลกรัมต่อไร่ เมื่อพิจารณาปริมาณผลผลิต ต้นทุนการผลิต มูลค่าผลผลิต และผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ และผล
วิเคราะห์ทางสถิติ สรุปว่าวิธีการไม่คลุมดินและวิธีการที่ให้น้ าทุก 4 วัน เป็นวิธีที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตและ
ผลผลิตของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์