Page 14 - การใช้ประโยชน์ของชุดตรวจสอบดินภาคสนามสำหรับให้คำแนะนำปุ๋ยในการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
P. 14
ห้องสมุดกรมพัฒนาที่ดิน
6
คณะ (2552) รายงานว่า การปลูกมันส าปะหลังในชุดดินแม่ริมที่มีความลาดเทของพื้นที่ 4.4
เปอร์เซ็นต์ หากไม่ใส่ปุ๋ยจะท าให้ปริมาณธาตุอาหารในพื้นที่ขาดดุลเทียบเท่าเนื้อปุ๋ย 4.2-3.0-2.2
กิโลกรัม N-P O -K O ต่อไร่ ดังนั้นจึงจ าเป็นต้องมีวิธีการจัดการสมดุลธาตุอาหารพืชในพื้นที่อย่าง
2 5 2
เหมาะสม ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามปัจจัยต่างๆ เช่น ชนิดของพืช คุณสมบัติของดิน (เนื้อดิน pH และ
ปริมาณธาตุอาหารในดิน) ความลาดเทของพื้นที่ และปริมาณน้ าฝน เป็นต้น
จากการศึกษาการจัดการสมดุลธาตุอาหารไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ส าหรับ
การผลิตข้าวโพดพันธุ์นครสวรรค์ 2 ในชุดดินสมอทอด พบว่า สมดุลของธาตุอาหารในพื้นที่ปีที่ 1 ซึ่ง
ไม่ได้ไถกลบเศษซากข้าวโพด พบว่า กรรมวิธีที่ไม่ใส่ปุ๋ยท าให้ปริมาณธาตุอาหารในพื้นที่ขาดดุลเฉลี่ย
เท่ากับ 10.9-0.4-8.4 กิโลกรัม N-P O -K O ต่อไร่ หรือแม้แต่กรรมวิธีที่ใส่ปุ๋ยเคมี 15-5-5 กิโลกรัม
2 5 2
N-P O -K O ต่อไร่ก็ยังคงท าให้ปริมาณธาตุอาหารในพื้นที่ขาดดุลเช่นกันเฉลี่ย 5.0-8.2-6.7 กิโลกรัม
2 5 2
N-P O -K O ต่อไร่ ในปีที่ 2 เมื่อไถกลบเศษซากพืช พบว่าไนโตรเจนและโพแทสเซียมในกรรมวิธีที่
2 5 2
ไม่ใส่ปุ๋ยมีปริมาณเกินดุลเฉลี่ย 0.5 กิโลกรัม N ต่อไร่และ 2.4 กิโลกรัม K O ต่อไร่ ตามล าดับ แต่
2
ฟอสฟอรัสยังมีปริมาณขาดดุลเฉลี่ย 5.4 กิโลกรัม P O ต่อไร่ ส่วนกรรมวิธีที่ใส่ปุ๋ยเคมี 15-15-15
2 5
กิโลกรัม N-P O -K O ต่อไร่ ท าให้ไนโตรเจนและโพแทสเซียมมีปริมาณเกินดุลเฉลี่ย 8.5 กิโลกรัม N
2 5 2
ต่อไร่ และ 6.3 กิโลกรัม K O ต่อไร่ ตามล าดับ แต่ฟอสฟอรัสยังมีปริมาณขาดดุลเฉลี่ย 3.9 กิโลกรัม
2
P O ต่อไร่ การใส่ปุ๋ยเคมีร่วมกับการใส่มูลไก่ท าให้ธาตุอาหารในพื้นที่มีค่าเกินดุลหรือมีธาตุอาหาร
2 5
เหลือตกค้างในดินมากกว่าการใช้ปุ๋ยเคมีเพียงอย่างเดียวอย่างเห็นได้ชัดว่า การปลูกข้าวโพดโดยใช้
ปุ๋ยเคมี 6-3-3 กิโลกรัม N-P O -K O ต่อไร่ ร่วมกับมูลไก่ 400 กิโลกรัมต่อไร่ ยังคงมีปริมาณธาตุ
2 5 2
อาหารเกินดุล โดยที่ข้าวโพดให้ผลผลิตเฉลี่ย 957 กิโลกรัมต่อไร่ สูงกว่ากรรมวิธีที่ไม่ใส่ปุ๋ย (618
กิโลกรัมต่อไร่) อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ (ศุภกาญจน์ และคณะ, 2553)
ส าหรับความต้องการธาตุอาหารของข้าวโพดนั้น พบว่า ธาตุไนโตรเจน (N) มีบทบาทส าคัญ
ต่อข้าวโพดตลอดอายุการเจริญเติบโต ตั้งแต่ระยะการเจริญเติบโตแรกจนถึงการสร้างเมล็ด ระยะที่
ข้าวโพดต้องการธาตุไนโตรเจนมากที่สุดคือ ระยะที่ข้าวโพดออกดอกตัวผู้และตัวเมีย จากการ
วิเคราะห์ทางเคมี พบว่าในช่วงอายุข้าวโพดประมาณ 18-30 วันและ 39-65 วัน ปริมาณการดูดใช้
ธาตุไนโตรเจนสูงถึง 7 กิโลกรัมต่อไร่ และ 50 กิโลกรัมต่อไร่ ตามล าดับ ดังนั้นถ้าในช่วงอายุการ
เจริญเติบโตหากปริมาณธาตุไนโตรเจนในดินมีไม่เพียงพอจะมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและ
ผลผลิตของข้าวโพด ธาตุฟอสฟอรัส นับว่าเป็นธาตุอาหารที่มีความส าคัญต่อการเจริญเติบโตของ
ข้าวโพดไม่น้อยไปกว่าธาตุไนโตรเจน จากการศึกษาพบว่าข้าวโพดตอบสนองต่อปุ๋ยฟอสฟอรัสตลอด
ฤดูปลูกเช่นกัน แต่มีความต้องการในระยะเริ่มแรกมากกว่าในระยะอื่นๆ อย่างไรก็ตามในระยะที่
ข้าวโพดออกดอกตัวผู้และตัวเมีย ธาตุฟอสฟอรัสก็มีบทบาทที่ส าคัญในการช่วยเสริมสร้างความอุดม
สมบูรณ์ให้กับต้นและเมล็ดเช่นกัน และพบอีกว่าการดูดใช้ธาตุฟอสฟอรัสจากดินของรากข้าวโพดจะ
เพิ่มขึ้นจนกระทั่งเมื่อรากเจริญเติบโตเต็มที่ ฉะนั้นจากเหตุดังกล่าวจึงแนะน าให้ใส่ปุ๋ยฟอสเฟต
ทั้งหมดตั้งแต่ตอนปลูก และโพแทสเซียมเป็นธาตุอาหารอีกชนิดหนึ่งที่มีบทบาทส าคัญในการสร้าง
ความเจริญเติบโตและความแข็งแรงของล าต้นและการสร้างเมล็ด แต่ในสภาพดินปลูกข้าวโพดใน
ประเทศไทยมีธาตุดังกล่าวอยู่สูง จึงมักไม่ค่อยพบว่าธาตุนี้มีปัญหาต่อการเจริญเติบโตของข้าวโพด
จากเอกสารข้อมูลพบว่าหนึ่งในสามของธาตุโพแทสเซียมนี้ข้าวโพดจะน าไปใช้ในการสร้างเมล็ด และ