Page 176 - การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อการสำรวจทรัพยากรดินในพื้นที่สูงบริเวณลุ่มน้ำสาขา น้ำแม่ต้า (ลุ่มน้ำยม)
P. 176
ห้องสมุดกรมพัฒนาที่ดิน
142
ซึ่งดินที่สํารวจพบสามารถจําแนกดินตามระบบอนุกรมวิธานดินในขั้นอันดับ (order) จําแนกได้ 3 อันดับ คือ
อันดับอัลทิซอลส์ (Ultisols) อันดับแอลฟิซอลส์ (Alfisols) และอันดับอินเซปทิซอลส์ (Inceptisols)
เมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างสภาพพื้นที่ ธรณีสัณฐาน และลักษณะของดิน พบว่า ลักษณะและ
สมบัติของดินมีความสัมพันธ์ตามปัจจัยการกําเนิดดินโดยเฉพาะสภาพภูมิประเทศ และวัตถุต้นกําเนิดดิน
โดยพบดินตื้นถึงชั้นหินผุบริเวณเทือกเขาหินภูเขาไฟ พวกแอนดีไซท์ และพวกแกรนิต ดินเหนียวลึกถึงลึกปานกลาง
ถึงชั้นหินผุบริเวณภูเขาหินตะกอนเนื้อละเอียดพวกหินดินดาน บริเวณตะพักลําน้ําระดับสูงเป็นดินลึกมาก
ส่วนที่ราบบริเวณส่วนต่ําของตะพักลําน้ําเป็นดินเหนียวมีการระบายน้ําค่อนข้างเลว
2. สมบัติของดินสําหรับการประเมินความอุดมสมบูรณ์ของดิน ความเหมาะสมของดิน และศักยภาพของ
ดินบริเวณลุ่มน้ําสาขาน้ําแม่ต้า
จากการศึกษาสมบัติทางกายภาพของดินในพื้นที่ลุ่มน้ําสาขาน้ําแม่ต้า โดยใช้ดินเป็นตัวแทนของหน่วยแผนที่
ทั้งหมดจํานวน 13 พีดอน แสดงให้เห็นว่า การกระจายของอนุภาคขนาดทรายของดินทุกบริเวณในชั้นดินบน
อยู่ในพิสัย 114 - 901 กรัมต่อกิโลกรัม ส่วนในชั้นดินล่างอยู่ในพิสัย 42 - 825 กรัมต่อกิโลกรัม และการ
แจกกระจายของอนุภาคขนาดทรายแป้งของดินอนุภาคขนาดทรายแป้งในชั้นดินบนมีค่าอยู่ในพิสัย 69 - 575
กรัมต่อกิโลกรัม และในชั้นดินล่างมีค่าอยู่ในพิสัย 98 - 564 กรัมต่อกิโลกรัม ส่วนการแจกกระจายของอนุภาค
ขนาดดินเหนียวของดิน พบว่าในชั้นดินบนมีค่าอยู่ในพิสัย 30 - 530 กรัมต่อกิโลกรัม ส่วนในชั้นดินล่างมีค่าอยู่ใน
พิสัย 55 - 561 กรัมต่อกิโลกรัม จะเห็นว่า ส่วนใหญ่การสะสมของอนุภาคขนาดดินเหนียวมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตาม
ความลึก ซึ่งแสดงถึงการมีพัฒนาการของหน้าตัดดิน (Buol et al., 2008) ความหนาแน่นรวมของดินในพื้นที่
ลุ่มน้ําสาขาน้ําแม่ต้ามีค่าอยู่ในระดับต่ําถึงค่อนข้างสูง โดยในชั้นดินบนมีค่าอยู่ในพิสัย 1.04 - 1.59 เมกกะกรัม
ต่อลูกบาศก์เมตร ในชั้นดินล่างมีค่าอยู่ในพิสัย 0.96 - 1.77 เมกกะกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งส่วนใหญ่
ความหนาแน่นรวมของดินทั้ง 13 พีดอนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามความลึก
เมื่อพิจารณาสมบัติทางเคมีของดินตัวแทนในพื้นที่ลุ่มน้ําสาขาน้ําแม่ต้า จะเห็นว่า ค่าปฏิกิริยาดินจาก
วิธีใช้ดินต่อน้ําในอัตราส่วน 1:1 อยู่ในช่วงเป็นกรดจัดถึงเป็นด่างจัด (pH 5.1 - 8.8) และด้วยวิธีดินต่อ
โพแทสเซียมคลอไรด์ (KCl) ในอัตราส่วน 1:1 มีค่าปฏิกิริยาดินอยู่ในช่วงกรดรุนแรงถึงเป็นกลาง (pH 3.5 - 7.2)
ซึ่งการที่ดินมีค่าปฏิกิริยาดินเป็นกรดมากแสดงถึงมีการชะละลายที่มาก และดินมีพัฒนาการค่อนข้างสูง
(คณาจารย์ภาควิชาปฐพีวิทยา, 2548; Brady and Weil, 2008) ปริมาณอินทรียวัตถุในดินของดินตัวแทน มีค่าอยู่ใน
ระดับต่ํามากถึงสูงมาก อยู่ในพิสัย 1.1 - 54.5 กรัมต่อกิโลกรัม โดยชั้นดินบนมีค่าอยู่ในระดับค่อนข้างสูงถึงสูงมาก
(27.2 - 54.5 กรัมต่อกิโลกรัม) และในชั้นดินล่างมีค่าอยู่ในระดับต่ํามากถึงปานกลาง (5.6 - 18.8 กรัมต่อกิโลกรัม)
ปริมาณฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์และโพแทสเซียมที่เป็นประโยชน์ มีค่าอยู่ในระดับต่ํามากถึงสูงมาก โดยอยู่ในพิสัย
0.1 - 40.6 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และ 32 - 455 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ตามลําดับ หากพิจารณาความเป็นกรดที่สกัดได้
ของดินตัวแทน จะเห็นว่า มีค่าอยู่ในระดับต่ําถึงสูง (1.46 - 12.52 เซนติโมลต่อกิโลกรัม) อีกทั้งมีแนวโน้ม
ความสัมพันธ์ในทางเดียวกับปริมาณอินทรียวัตถุของดิน ทั้งนี้เนื่องจากอินทรียวัตถุซึ่งมีค่าสูงในชั้นดินบน
สามารถดูดซับไฮโดรเจนไอออนได้มาก (Foth, 1984; Tan, 1993) และเมื่อพิจารณาความจุแลกเปลี่ยนแคตไอออน
และอัตราร้อยละความอิ่มตัวเบสของดินตัวแทน พบว่ามีค่าอยู่ในระดับต่ําถึงสูง โดยอยู่ในพิสัย 3.86 - 26.21
เซนติโมลต่อกิโลกรัม และร้อยละ 18.41 - 91.37 ตามลําดับ
ส่วนองค์ประกอบเชิงแร่ในกลุ่มอนุภาคขนาดดินเหนียวและอนุภาคขนาดทรายแป้งของดินตัวแทน จะเห็นว่า
สมบัติทางแร่วิทยาในกลุ่มอนุภาคขนาดดินเหนียวของดินจะพบแร่อิลไลต์เป็นองค์ประกอบเชิงแร่หลักในเกือบทุกบริเวณ
แต่จะพบแร่เคโอลิไนต์เป็นองค์ประกอบหลักใน Ty และ Cg-low,f ซึ่งแสดงว่าดินดังกล่าวมีพัฒนาการสูงกว่า