Page 69 - องค์ความรู้สู่ปีดินสากล 2558
P. 69
ในขณะไถนา แตถาหากฝนชวงนี้มาลาชาทิ้งหางฝนชวงแรกมากๆ ก็จะทําใหตนกลาที่เตรียมไวเสียหาย จนไม
สามารถนํามาปกดําได แตทั้งนี้ไมวาฝนชวงนี้จะมาลาชาหรือมาเร็วก็ตาม ปริมาณน้ําฝนในชวงนี้ก็จะมากกวา
ปริมาณน้ําฝนในชวงแรก และจะตกหนักมากจนทําใหเกิดสภาวะน้ําทวมพื้นที่นา ทําใหตนขาวที่เพิ่งปกดําใหมๆ
เสียหายน้ําที่ทวมในลักษณะเชนนี้เรียกวา สภาวะน้ําทวมอันเกิดจากฝนที่ตกหนักในพื้นที่ที่ไมมีทางระบายออก
ไดทั้งนี้ก็เนื่องจาก สภาพภูมิประเทศของทุงกุลารองไห เปนที่ราบลุมแบบแองกระทะขนาดใหญมีความลาดเท
ของพื้นที่จากทิศตะวันตกไปสูทิศตะวันออกดวยความลาดชันต่ํามากๆคือ.ประมาณ 1 ตอ 15,000.(ทุกๆ.15
กิโลเมตรจะมีระดับต่ําลงมา 1 เมตร ) ความลาดชันแบบนี้มองดวยตาเปลาจะถือวาราบเรียบเปนกระจกไป
จนถึงความลาดชันที่มีความที่มีความลาดชันประมาณ.1 ตอ 5,000 (ทุกๆ .5.กิโลเมตร จะมีระดับต่ําลงมา 1
เมตร ) ความลาดเทแบบนี้ ขนาดนี้ก็ยังดูราบเรียบเปนกระจกอยูเหมือนเดิม.ดังนั้น.ลักษณะการระบายน้ําตาม
ระบบปกติของพื้นที่ทุงกุลารองไห แบบนี้ จะมีรูปแบบการระบายน้ํา โดยอาศัยสิ่งกอสรางที่สรางขึ้นเองโดย
ธรรมชาติ ไมใชโดยมนุษย มีหลายรูปแบบตอเนื่องกันตามลักษณะการไหลของน้ําดวย คือ การไหลของน้ําใน
ระดับพื้นที่ราบเรียบเปนกระจกนี้จะเริ่มตนการไหลแบบเปนแผน แผไปทั้งพื้นที่ เพื่อหาทางออกลงในพื้นที่ต่ํา
จนในที่สุดก็เริ่มรวมตัวกันเปนรองเล็กๆ ใหเห็นแตคนยังเดินขามได ตอจากนั้นการไหลก็จะเริ่มมีขนาดใหญขึ้น
มีการกัดเซาะหนาดินลึกลงไปกลายเปนรองลึก.ซึ่งชาวบานจะเรียกทางน้ําแบบนี้วา โศก รองน้ําแบบนี้จะมี
ขนาดกวางขึ้น ลึกขึ้นจนเดินขามไดดวยความยากลําบาก เกวียนจะขามไมไดเลยถายังมีน้ําไหลอยู น้ําที่ระบาย
ผานโศกก็จะสะสมเพิ่มมากขึ้นจนเพิ่มขนาดของโศก กลายเปนสิ่งที่เรียกวารอง เปนรองหมาอีขาวรองลูกนก
จากรองนี้ การไหลก็พัฒนาไปสูการไหลในปริมาณสะสมที่เพิ่มขึ้นมากขึ้นขนาดของรองก็จะกวางและลึกขึ้น
กลายเปนหวย.จากหวยการระบายน้ําเพิ่มมากขึ้น ทั้งปริมาณและความเร็วจนกลายเปนคลอง.หรือที่ชาวนา
เรียกวา.ลํา เชน ลําพลับพลา ลําเสียวนอย เปนตน.ณ.จุดนี้ การไหลของน้ําเริ่มจะมีระยะเวลายาวนานมากขึ้น
แตอาจจะไมทั้งปก็ได จนกวาจะมีการพัฒนาการไปเปนแม คือ แมน้ํา เชน แมน้ํามูล หรือ แมมูล ที่มีการไหล
ของน้ํามีการระบายน้ําตอเนื่องตลอดทั้งปรองน้ําตามธรรมชาติตามลําดับที่กลาวมานี้บางก็ตื้นเขินโดยธรรมชาติ
บางก็ถูกขุดเปนบอดักปลากลางลําน้ําหรือสรางเปนฝายดินเล็กๆเพื่อดักจับปลาและเปนทางขามลําน้ําของ
ชาวบานประกอบกับพื้นที่เหลานี้คือพื้นที่นา พื้นที่นี้จึงมีคันนานับลานๆคัน สภาพที่มีสิ่งกีดขวางมากมายเชนนี้
มีผลใหเกิดการชะลอของน้ําที่ไหลโดยธรรมชาติ กลับมาสรางปญหาน้ําทวม – อุทกภัยใหเกิดขึ้นอยางรุนแรง
โดยการรูเทาไมถึงการณของชาวนาเองอีกสวนหนึ่งดวยลักษณะภูมิประเทศที่ราบเรียบแบบนี้เมื่อตองประสบ
กับฝนที่ตกหนักในฤดูฝนก็จะทําใหเกิดปญหาน้ําทวมขังในพื้นที่นาเปนเวลานานจนกอใหเกิดเปนอุทกภัยทําให
ตนกลาหรือตนขาวที่ปลูกอยูในนาเสียหาย.ทั้งนี้ โอกาสที่จะเกิดอุทกภัยในทุงกุลารองไหจะมีถึง 2 ครั้ง.ในฤดูทํานาป
เพราะอิทธิพลของมรสุมตะวันตกเฉียงใตที่พัดมาจากมหาสมุทรอินเดียที่นําฝนเขามาในชวงเดือนพฤษภาคม ถึง
มิถุนายน.ทุกป กับอิทธิพลของลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดมาจากมหาสมุทรแปซิฟกที่นําฝนเขามา
ในชวงเดือนสิงหาคม–กันยายน ทุกปเชนกัน ปริมาณน้ําฝนรวมที่ไดจากมรสุมลูกหลังมักจะมีมากกวาปริมาณ
น้ําฝนที่ไดจากมรสุมลูกแรก อุทกภัยจากมรสุมลูกหลังจึงรุนแรงมากกวามรสุมลูกแรก อยางไรก็ตามขึ้นชื่อวา
อุทกภัย ไมวาจะเปนอุทกภัยจากมรสุมลูกแรกขณะที่ตนขาวยังอายุนอยหรือมีลักษณะเปนตนกลาอยู หรือเปน
อุทกภัยจากมรสุมลูกหลังขณะที่ตนขาวเติบโตดีแลวก็ตาม อุทกภัยก็จะทําลายตนขาวทั้ง2 ระยะไดโดยสิ้นเชิง
ทั้งสิ้น ยิ่งไปกวานั้นจากกรณีศึกษาระบบสภาพภูมิอากาศดังกลาวเราจะพบชองวางระหวางมรสุมทั้ง 2 ลูก
เปนชวงที่ไมมีฝนซึ่งเรียกอีกอยางหนึ่งวาระยะ“.ฝนทิ้งชวง”.ซึ่งมักเกิดขึ้นระหวางกลางเดือนกรกฎาคมถึงตนเดือน
สิงหาคมของทุกปชวงวางเวนฝนนี้จะแทรกเขามาทําลายตนขาวในฤดูนาปไดอีกระลอกหนึ่งเปนภัยที่ตรงขามกับ
อุทกภัย.คือ ภัยแลงกลางฤดูเพาะปลูกขาวนาป อุทกภัยและภัยแลงที่เกิดขึ้นสลับกันในฤดูทํานาปของ
ทุงกุลารองไหเชนนี้ สงผลใหการทํานาในทุงกุลารองไหไดผลนอยการทํานาเชิงพาณิชยจึงไมไดผลความตกต่ํา
ทางเศรษฐกิจจึงเกิดขึ้นทั่วไป.ดวยเหตุนี้ประการหนึ่ง
66 องคความรูสูปดินสากล 2558