Page 89 - การใช้ประโยชน์ของชุดตรวจดินภาคสนามสำหรับการจัดการปุ๋ยเพื่อการปลูกพืชผักในจังหวัดลำพูน
P. 89
ห้องสมุดกรมพัฒนาที่ดิน
76
สรุปผลการทดลอง
1. การก าหนดอัตราการใส่ปุ๋ย N P และK ส าหรับการปลูกผักคะน้า และหอมแบ่ง โดย
พิจารณาค่าวิเคราะห์ดินอย่างเดียว หรือพิจารณาค่าวิเคราะห์ดินควบคู่กับความต้องการธาตุอาหาร
หลักของพืช สามารถลดต้นทุนการผลิตด้านปุ๋ยเคมีลงได้ เมื่อเปรียบเทียบกับการใส่ปุ๋ยอัตราเกษตรกร
โดยผลผลิตไม่ลดลง และทุกอัตราการใส่ปุ๋ยไม่ท าให้ผลผลิตแตกต่างกันทางสถิติ
2. อัตราการใส่ปุ๋ยเคมีที่ประเมินจากค่าวิเคราะห์ดินร่วมกับปริมาณการดูดใช้ไนโตรเจนของ
พืชผัก การปลดปล่อยไนโตรเจนจากอินทรียวัตถุ ประสิทธิภาพการดูดใช้ไนโตรเจนของพืชค่าวิกฤต
ของฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ได้ในดิน (10 มก.P/กก.) และโพแทสเซียมที่สามารถแลกเปลี่ยนได้
(100 มก.K/กก.) เป็นอัตราที่มีต้นทุนด้านปุ๋ยน้อยที่สุด และมีผลตอบแทนต่อต้นทุนด้านปุ๋ยหนึ่งหน่วย
สูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราการใส่ปุ๋ยในอัตราอื่น
3. การใช้ชุดตรวจดินภาคสนาม กรมพัฒนาที่ดิน ตรวจวิเคราะห์ดินให้ค่าอินทรียวัตถุ
ฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ได้ และโพแทสเซียมที่สามารถแลกเปลี่ยนได้ ที่มีความสอดคล้องกับค่า
วิเคราะห์ดินจากห้องปฏิบัติการ
4. อัตราการใส่ปุ๋ยเคมีในผักคะน้า และหอมแบ่ง ที่ประเมินโดยใช้ค่าวิเคราะห์ดินจากชุดตรวจ
ดินภาคสนาม มีประสิทธิภาพเหมาะสมส าหรับการใช้ในการให้ค าแนะน าการใส่ปุ๋ยเคมีในการปลูก
ผักคะน้า และหอมแบ่งในจังหวัดล าพูน สามารถลดต้นทุนด้านปุ๋ยเคมี โดยผลผลิตไม่ลดลงหรือดีกว่า
และท าให้ผลตอบแทนต่อต้นทุนด้านปุ๋ยหนึ่งหน่วยสูงกว่าอัตราเกษตรกร
ข้อเสนอแนะ
1. ด้านการศึกษาวิจัย ควรมีการศึกษาเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพของชุดตรวจดินภาคสนาม
กรมพัฒนาที่ดินให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ที่มีความแตกต่างของดินและสภาพแวดล้อม
2. ควรส่งเสริมให้มีการใช้ชุดตรวจดินภาคสนาม กรมพัฒนาที่ดิน ให้แพร่หลายมากขึ้น
เพื่อให้เกษตรกรได้เข้าถึงและใช้ประโยชน์จากการตรวจดินส าหรับการใส่ปุ๋ยเคมี
3. การใช้ชุดตรวจดินภาคสนามเพื่อการตรวจดินส าหรับเกษตรกรน่าจะเป็นการใช้
งบประมาณของกรมพัฒนาที่ดินที่มีประสิทธิภาพในเชิงปริมาณและประสิทธิผล
4. ควรมีการส่งเสริม อบรมการใช้ชุดตรวจดินภาคสนาม กรมพัฒนาที่ดิน รวมทั้งการแปลผล
ให้ถูกต้อง แม่นย า ให้แก่ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานของกรมพัฒนาที่ดิน หมอดินอาสา และเกษตรกร
ผู้สนใจ