Page 86 - การใช้ประโยชน์ของชุดตรวจดินภาคสนามสำหรับการจัดการปุ๋ยเพื่อการปลูกพืชผักในจังหวัดลำพูน
P. 86
ห้องสมุดกรมพัฒนาที่ดิน
73
รายได้ต่อต้นทุนด้านปุ๋ยหนึ่งหน่วย พ.ศ. 57 รายได้ต่อต้นทุนด้านปุ๋ยหนึ่งหน่วย พ.ศ. 58
600
101.5
500
397.1
400
72.6
รายได้ต่อต้นทุนด้านปุ๋ยหนึ่งหน่วย 300 217.6
200
57.2 60.8
100 15.6 41.7 40.2
0 0 22.2
0
1 2 3 4 5 6
ต ารับการทดลอง
ภาพที่ 14 แสดงรายได้ต่อต้นทุนหนึ่งหน่วยของหอมแบ่ง 2 ปี (พ.ศ. 2557 - พ.ศ. 2558)
ด้านรายได้ต่อต้นทุนหนึ่งหน่วย ในแต่ละต ารับการทดลองของผักคะน้า 2 ปี เริ่มต้น พ.ศ.
2557 ถึง พ.ศ. 2558 พบว่าในต ารับการทดลองที่ 4 มีรายได้ต่อต้นทุนหนึ่งหน่วยสูงที่สุด ในขณะ
ที่ต ารับการทดลองที่ 2 มีต้นทุนการผลิตต่ าที่สุด ส าหรับในต ารับการทดลองที่ 6 และ ต ารับการ
ทดลองที่ 3 มีรายได้ต่อต้นทุนหนึ่งหน่วยสูงกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับต ารับการทดลองที่ 2 โดยที่
ผลผลิตไม่ลดลง ดังภาพที่ 14
ในการประเมินประสิทธิภาพของชุดตรวจดินภาคสนาม ได้ใช้หลักเกณฑ์ในการประเมินดังนี้
1. ความสอดคล้องของค่าวิเคราะห์ดิน โดยเปรียบเทียบระดับของอินทรียวัตถุ ฟอสฟอรัสที่
เป็นประโยชน์ได้ และโพแทสเซียมที่สามารถแลกเปลี่ยนได้ ที่วิเคราะห์โดยห้องปฏิบัติการกับค่า
วิเคราะห์ที่ตรวจสอบโดยการใช้ชุดตรวจดินภาคสนาม และมีสมมุติฐานว่า ค่าวิเคราะห์มีความ
สอดคล้องกัน เมื่อระดับแตกต่างกัน 1 ระดับ
2. ชุดตรวจสอบดินภาคสนาม สามารถใช้ส าหรับให้ค าแนะน าการใส่ปุ๋ยเคมีได้ ถ้าอัตราปุ๋ยที่
แนะน าโดยการใช้ค่าวิเคราะห์จากชุดตรวจสอบดินภาคสนาม สามารถลดต้นทุนการใส่ปุ๋ยเมื่อ
เปรียบเทียบกับอัตราเกษตรกร โดยผลผลิตไม่แตกต่างหรือได้มากกว่าหรือได้ผลตอบแทนทาง
เศรษฐกิจต่อการลงทุนด้านปุ๋ยหนึ่งหน่วยมากกว่าการใส่ปุ๋ยอัตราเกษตรกร
จากเกณฑ์การประเมินประสิทธิภาพของชุดตรวจดินภาคสนามข้อที่ 1 พบว่าค่าวิเคราะห์
อินทรียวัตถุ ฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ได้ และโพแทสเซียมที่สามารถแลกเปลี่ยนได้ ของดินก่อนปลูก