Page 78 - องค์ความรู้สู่ปีดินสากล 2558
P. 78
เปนผลผลิตจากแหลงไมยูคาลิบตัสที่มากที่สุด ปละหลายลานตัน สําหรับอุตสาหกรรม ไดแก
ไมปลูกสราง ไมทอนและชิ้นไมสับ ไมอัด เยื่อ กระดาษ เสนใย เชื้อเพลิงชีวภาพ ผลิตไฟฟา ผลิตเชื้อเพลิง
สังเคราะห (BTL = Biomas to Liquid)
ไมยูคาลิปตัส
การแกปญหาทุงกุลารองไห ที่จะตองดําเนินการตอไป
ควรมีการปองกันการชะลางพังทลายโดยน้ํา ซึ่งเปนปญหาเดิม คือน้ําหลากทวมทุกปและไหล
เร็ว เมื่อหมดฤดูฝนก็จะแหงแลงจัดสลับกัน โดยถนนที่กอสรางเชื่อมโยงระหวางอําเภอ และหมูบานเปนเสมือน
คันดินเบนน้ํา (Diversion) ที่ทําหนาที่ชะลอน้ํา เบนน้ํา และคูรับน้ํา (Control drainage system) ทําหนาที่
ควบคุมทิศทางและความเร็วของน้ําไปสูแหลงน้ํา อีกทั้งยังชวยกักเก็บน้ําเพื่อสูบกลับสูแปลงนาเมื่อฝนทิ้งชวง
มีการปรับรูปแปลงนาทําคันดินใหมีขนาดใหญและสูงขึ้นเพื่อกักเก็บน้ําแทนของเดิมที่มีขนาดเล็กเตี้ยแคบถูกน้ํา
ชะพังไดงาย
การควบคุมการไหลบาของน้ําที่ฝนตกมากกวา 200 มิลลิเมตร
ในสองวัน น้ําจะทวมแตมีการออกแบบ แบบรับน้ําที่มากกวา 20 เซนติเมตร (200 มิลลิเมตร)
คือ ความสูงของกลาขาวที่ใชปกดํา ทําใหน้ําจะไหลลงสูคลองหรือ คูรับน้ํา และควบคุมการไหลไปสูแหลง
น้ําขนาดเล็กและกักเก็บไวใช สวนเกินจะไหลลงน้ําเสียว ลําพลับพลาและแมน้ํามูล
ชวงขาดน้ําเมื่อฝนทิ้งชวงน้ําที่คางในคูรับน้ําที่มีอาคารชะลอน้ํา ควบคุมความเร็วในการไหล
สามารถสูบกลับไปยอนทางเดิมที่ไหลลงมาชวยชะลอความเสียหายกับนาขาวได
น้ําที่กักเก็บไวในแปลงนาขาวสูง 20 เซนติเมตร จะเพียงพอที่จะทนตอภาวะฝนทิ้งชวงไดถึง 30
วัน คันนาจึงสูง 50-80 เซนติเมตร และกวาง 50-80 เซนติเมตร ซึ่งตอมาไดมีการสงเสริมใหปลูกไมใช
สอยโตเร็ว และ ที่สําคัญ คือ ยูคาลิปตัส
การชะลางโดยลม จากการเผาและทุงโลง ลมที่พัดแรงมากเปนลมหมุน เรียกวา “ลมหัวกุด”
เปรียบเหมือนทอนาโดขนาดเล็ก ความเร็วของลมจะทําใหอัตราการระเหยของน้ําสูงมาก และชักนําน้ําใตดินที่มี
เกลือละลายอยูขึ้นมาสะสมบนผิวดินได เกลือที่มากจะทําลายโครงสรางดินทําใหงายตอการถูกลมหอบ
การปลูกไมใชสอยโตเร็วที่ปลูกหลายชนิด จุดประสงคคือ จะใหเปนไมฟน สวนใหญจะไมเหลือ
เพราะทนตอน้ําทวม แหงแลง ไฟไหมและโรคแมลงไมได ไมที่เหลือรอดมากที่สุด คือ ยูคาลิปตัส
โครงการพัฒนาทุงกุลารองไห 75