Page 76 - แนวทางการศึกษาดินตัวแทนหลักสำหรับพัฒนาการเกษตรของประเทศไทย
P. 76
- 69 -
2. เนื้อดินช่วยบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของดิน ดินเนื้อหยาบจะมีระดับธาตุอาหารที่เป็น
ประโยชน์ต่อพืชต่ํากว่าดินเนื้อละเอียด เช่น ดินทรายมักจะขาดธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัสและโพแทสเซียม
เนื่องจากดินทรายจะดูดยึดธาตุอาหารได้ต่ํากว่าและสูญเสียธาตุอาหารลงไปอยู่ในดินชั้นล่างจนไม่เป็นประโยชน์
ต่อพืชได้ง่ายกว่า
3. เนื้อดินช่วยบอกถึงความต้านทานต่อการเปลี่ยนแปลงระดับความเป็นกรดเป็นด่างของดิน
ดินเนื้อหยาบจะมีความต้านทานต่อการเปลี่ยนแปลงความเป็นกรดเป็นด่างของดินน้อยกว่าดินเนื้อละเอียด
ดังนั้น ในการแก้ไขความเป็นกรดจัดของดินโดยใช้วัสดุปูนในดินที่มีเนื้อหยาบจะต้องระมัดระวังให้มากกว่าดิน
เนื้อละเอียด เนื่องจากในดินเนื้อหยาบจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ง่ายมาก จึงต้องการปริมาณปูนน้อยกว่าในการ
ยกระดับความเป็นกรดเป็นด่างของดินให้ขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกัน
4. เนื้อดินช่วยบอกให้ทราบถึงสภาพการถ่ายเทอากาศในดิน เช่น ดินทรายจะมีการถ่ายเท
อากาศในดินดีกว่าดินเหนียว ทั้งนี้ เนื่องจากดินทรายมีขนาดของช่องว่างในดินใหญ่และมีความต่อเนื่องดีกว่า
ดินเหนียว
5. เนื้อดินช่วยบอกให้ทราบถึงปริมาณความชื้นในดินที่เป็นประโยชน์ต่อพืช เช่น ดินทรายจะมี
ความชื้นที่เป็นประโยชน์ต่อพืชน้อยกว่าดินเหนียวและดินร่วน ทั้งนี้ เนื่องจากดินทราย (sand: s) และดินทราย
ปนดินร่วน (loamy sand: ls) อุ้มน้ําไว้ได้น้อยกว่าดินร่วนเหนียวปนทราย (sandy clay loam: scl) และดิน
ร่วนปนทราย (sandy loam: sl) หรือดินร่วนเหนียวปนทรายและดินร่วนปนทรายอุ้มน้ําไว้ได้น้อยกว่าดิน
เหนียวปนทรายแป้ง (silty clay: sic) ดินร่วน (loam: l) ดินเหนียว (clay) ดินร่วนปนดินเหนียว (clay loam:
cl) และดินเหนียวปนทราย (sandy clay: sc) หรือดินเหนียวปนทรายแป้ง ดินร่วน ดินเหนียว ดินร่วนปนดิน
เหนียวและดินเหนียวปนทรายอุ้มน้ําไว้ได้น้อยกว่าดินทรายแป้ง (silt: si) ดินร่วนปนทรายแป้ง (silt loam: sil)
และดินร่วนเหนียวปนทรายแป้ง (silty clay loam: sicl) เป็นต้น
การมีอนุภาคดินเหนียวเป็นปริมาณที่สูง ทําให้มีบทบาทมากที่สุดในการควบคุมหรือกําหนดสมบัติ
ต่างๆ ของดิน ทั้งทางกายภาพและทางเคมี (คณาจารย์ภาควิชาปฐพีวิทยา, 2541) เช่น ความเป็นประโยชน์ของ
ไนโตรเจนในดินต่อพืชจะเพิ่มขึ้นเมื่อดินมีเนื้อละเอียดมากขึ้น ทําให้มีศักยภาพในการให้ผลผลิตต่อพืชสูง
เนื่องจากเป็นดินที่มีธาตุอาหารสูง มีค่าความจุแลกเปลี่ยนแคตไอออนสูง สามารถเก็บรักษาความชื้นไว้ได้นาน
แต่บริเวณที่เป็นดินเหนียวจัดสีดํา ที่พบกระจายในบริเวณที่ได้รับอิทธิพลของภูเขาหินปูน หินด่าง หรือหินอัคนี
ที่มีแคลเซียมคาร์บอเนตสูง ในหน้าแล้ง ดินจะแห้งและแตกเป็นร่องระแหง พบรอยไถล (slickensides) ทําให้
รากพืชฉีกขาดได้ง่าย ดังนั้นจึงควรรักษาความชื้นของดินไม่ให้แห้ง การไถพรวนต้องกระทําขณะที่ความชื้น
พอเหมาะ ใช้วัสดุปรับปรุงดินหรือปรับปรุงโครงสร้างและสมบัติทางกายภาพของดินให้ร่วนซุยขึ้น โดยการใช้ปุ๋ย
อินทรีย์ชนิดต่างๆ เช่น การใช้แกลบหรือฟางข้าว นอกจากนี้ปริมาณดินเหนียวละเอียดที่เพิ่มขึ้น ที่อาจ
เนื่องมาจากการเคลื่อนย้ายจากดินบนมาสะสมในดินล่างหรือเกิดจากการอัดแน่น เนื่องจากมีการใช้เครื่องมือ
ทางการเกษตรและการอัดตัวกันของแร่ดินเหนียวละเอียด เมื่อมีการหดตัว เนื่องจากดินมีโครงสร้างไม่ดี การจับ
กันของอนุภาคดินค่อนข้างแน่นทึบในชั้นดินที่อยู่ลึกลงไปเกิดการอัดตัวแน่นขึ้น ดินจะเกิดการจับตัวแบบเนื้อ
สมานแน่น (massive) ในดินเนื้อละเอียดและแน่นทึบ มีผลต่อความเป็นประโยชน์ของปริมาณน้ําที่ดินให้แก่พืช
คือ ถ้ามีปริมาณน้ําในดินน้อย เช่นหน้าแล้ง ดินเหนียวจัด ซึ่งมีสมบัติของการนําน้ําต่ํากว่าในดินร่วนเหนียว
(อํานาจ, 2525) ทําให้น้ําใต้ดินไม่สามารถผ่านขึ้นมาสู่ผิวดินตามระบบท่อเล็กๆ (capillary rise) ได้ง่ายนัก
เนื่องจากน้ํามีแรงตึงผิวในหน้าแล้งสูง ในฤดูฝน ดินเหนียวจะอุ้มน้ําได้ดีกว่าดินชนิดอื่นๆ แต่การระบายน้ําจะ
เลวมากและความสามารถในการให้น้ําซึมผ่านจะช้า ทําให้เกิดการท่วมขังของน้ําบนผิวดินและในชั้นดิน จึงเป็น
ตัวจํากัดชนิดของพืชที่ปลูก ในขณะที่ดินร่วนปนทรายแป้ง ดินร่วนเหนียว มีความเหมาะสมต่อการปลูกพืชทุก

