Page 51 - การจัดการดินเพื่อปลูกมันสำปะหลังในกลุ่มชุดดินที่ 28 จังหวัดสระบุรี ภายใต้โครงการนำร่องการผลิตพืชตามเขตการใช้ที่ดินพืชเศรษฐกิจเพื่อพัฒนาขีดความสามารถการแข่งขันในประชาคมอาเซียน
P. 51
ห้องสมุดกรมพัฒนาที่ดิน
41
สรุป
สมบัติทางเคมีของดินของดินในการปลูกมันสําปะหลังในพื้นที่แปลงทดลองหมู่ที่ 12 ตําบล
ลําพญากลาง อําเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี พบว่าค่าความเป็นกรดเป็นด่างของดินก่อนและหลังการทดลอง
ทั้ง 3 ปี มีค่าความเป็นกรดเป็นด่างของดินก่อนการทดลอง คือเป็นด่างเล็กน้อยทั้ง 5 วิธีการ และเมื่อ
ดําเนินการทดลองผ่านไป 3 ปี พบว่าค่าความเป็นกรดเป็นด่างของดินมีความเป็นกลาง ด้านปริมาณ
อินทรียวัตถุในดินก่อนการทดลอง มีปริมาณสูงคือ 2.76 ถึง 2.83 เปอร์เซ็นต์ และหลังการทดลอง 3 ปี
พบว่าปริมาณอินทรียวัตถุในดินหลังการทดลองมีปริมาณสูงขึ้นทุกวิธีการดลอง โดยวิธีการทดลองที่ 5 มี
ปริมาณอินทรียวัตถุสูงที่สุดคือ 4.88 เปอร์เซ็นต์ ด้านการเปรียบเทียบปริมาณฟอสฟอรัสและโพแทสเซียม
ที่เป็นประโยชน์ในดินก่อนและหลังการทดลองทั้ง 3 ปี พบว่า ปริมาณฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ในดิน
ก่อนการทดลองของวิธีการที่ 4 ปริมาณฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมหลังจากการทดลอง 3 ปี สูงที่สุด คือ
14 และ 108 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
จากผลการทดลอง จะสังเกตได้ว่าปริมาณอินทรียวัตุมีปริมาณเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการไถกลบเศษ
เหลือจากใบและต้นมันสําปะหลังให้ย่อยสลายในแปลงทดลอง จึงคาดว่าจะส่งผลให้มีปริมาณอินทรียวัตถุ
เพิ่มขึ้น และค่าความเป็นกรดเป็นด่างก่อนการทดลองทั้ง 3 ปี มีค่าความเป็นกรดเป็นด่าง 7.60 ถึง 7.68
และเมื่อทําการทดลองผ่านไป 3 ปี พบว่าค่าความเป็นกรดเป็นด่างลดลงเป็นกลางในทุกวิธีการทดลอง
6.50 ถึง 6.80
ด้านการเจริญเติบโตและผลผลิตของมันสําปะหลังที่ใช้ปุ๋ยเคมี พบว่าวิธีการที่ 1 วิธีเกษตรกร
ความสูงและความกว้างของต้นมันสําปะหลังสูงที่สุด ด้านผลผลิตพบว่า วิธีการที่ 3 คําแนะนําการใช้ปุ๋ย
ตามโปรแกรมดินไทยและธาตุอาหารพืชร่วมกับน้ําหมักชีวภาพให้ผลผลิตสูงที่สุดทั้ง 3 ปี โดยมีผลผลิต
4,801.99 4,767.20 และ 4,779.00 กิโลกรัมต่อไร่ ตามลําดับ ด้านเปอร์เซ็นต์แป้งอยู่ระหว่าง 23-25
เปอร์เซ็นต์ ซึ่งทั้ง 3 ปี มีค่าเฉลี่ยใกล้เคียงกัน จากผลการทดลองทั้ง 3 ปี โดยวิธีการที่ 3 การใช้ปุ๋ยตาม
โปรแกรมดินไทยและธาตุอาหารพืชร่วมกับน้ําหมักชีวภาพ ปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมี สูตร 46-0-0 อัตรา 14
กิโลกรัมต่อไร่ สูตร 0-0-60 อัตรา 7 กิโลกรัมต่อไร่ และสูตร 18-46-0 อัตรา 9 กิโลกรัมต่อไร่ และมีการ
ฉีดน้ําหมักชีวภาพร่วมด้วย เห็นได้ว่าผลผลิตสูงและเปอร์เซ็นต์แป้งสูง
จากผลการทดลองทั้ง 3 ปี พบว่า ในปีที่ 1 2 และ 3 วิธีการที่ 1 วิธีเกษตรกรมีต้นทุนการผลิตต่ํา
ที่สุด 5,593.88 5,659.45 และ 5,666.10 บาทต่อไร่ ด้านมูลค่าผลผลิตพบว่า วิธีการทดลองที่ 3
คําแนะนําการใช้ปุ๋ยตามโปรแกรมดินไทยและธาตุอาหารพืชร่วมกับน้ําหมักชีวภาพ มีมูลค่าผลผลิตสูงที่สุด
ทั้ง 3 ปีการทดลอง คือ 10,564.38 10,487.84 และ 10,513.80 บาทต่อไร่ ตามลําดับ
วิธีการที่ 3 คําแนะนําการใช้ปุ๋ยตามโปรแกรมดินไทยและธาตุอาหารพืชร่วมกับน้ําหมักชีวภาพ มี
รายได้สุทธิสูงที่สุดเช่นกันทั้ง 3 ปี คือ 4,742.98 4,683.84 4,703.90 บาทต่อไร่ ตามลําดับ จาก
ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจทั้ง 3 ปี จะสังเกตได้ว่า วิธีการที่ 3 คําแนะนําการใช้ปุ๋ยตามโปรแกรมดินไทย
และธาตุอาหารพืชร่วมกับน้ําหมักชีวภาพ ให้ผลผลิตที่สูงกว่าวิธีการทดลองอื่นไม่มากนัก แต่มีการใช้
ปุ๋ยเคมีในปริมาณที่ต่ํากว่าวิธีการที่ 4 และ 5 จึงทําให้วิธีการที่ 3 มีต้นทุนการผลิตด้านการใช้ปุ๋ยเคมีที่ต่ํากว่า
เมื่อเปรียบเทียบรายได้สุทธิ จึงทําให้วิธีการที่ 3 มีรายได้สุทธิสูงที่สุด และเมื่อมีการเปรียบเทียบวิธีการที่ 3
คําแนะนําการใช้ปุ๋ยตามโปรแกรมดินไทยและธาตุอาหารพืชร่วมกับน้ําหมักชีวภาพกับวิธีการที่ 1 (วิธี