Page 98 - การประเมินความเหมาะสมทางด้านเศรษฐกิจในการผลิตพืชเพื่อวางแผนการใช้ที่ดินลุ่มน้ำสาขาของลุ่มน้ำหลัก : โตนเลสาป ปีการผลิต 2555/56
P. 98
ห้องสมุดกรมพัฒนาที่ดิน
2-70
2.4.3 ลุ่มนํ้าสาขาโตนเลสาปตอนล่าง (1703)
1) ด้านสังคม
1.1) เขตการปกครอง
ลุ่มนํ้าสาขาโตนเลสาปตอนล่าง (1703) มีพื้นที่ครอบคลุม 2 จังหวัด คือ พื้นที่
บางส่วนในอําเภอขลุง เขาคิชฌกูฏ โป่งนํ้าร้อน สอยดาว จังหวัดจันทบุรี อําเภอคลองหาด อรัญประเทศ
จังหวัดสระแก้ว รวม 6 อําเภอ 19 ตําบล โดยมีเนื้อที่อยู่ในลุ่มนํ้าสาขาโตนเลสาปตอนล่าง (1703)
1,539.25 ตารางกิโลเมตร หรือ 962,034 ไร่
1.2) ประชากรและโครงสร้างประชากร
(1) จํานวนประชากร จํานวนครัวเรือน และความหนาแน่นของประชากร
การศึกษาเพื่อวางแผนพัฒนาในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านเกษตรกรรม
ด้านอุตสาหกรรม หรือวางแผนการใช้ที่ดินในพื้นที่ต่างๆ จําเป็นต้องพิจารณาตัวแปรด้านสังคมเพื่อให้
สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้ทรัพยากรในเขตพื้นที่นั้นๆ และตัวแปรสําคัญที่นํามาพิจารณาตัวแปรหนึ่ง
คือ ประชากรที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ดําเนินการศึกษา ทั้งนี้ เพื่อให้ทราบถึงลักษณะโครงสร้างและ
การเปลี่ยนแปลงในระยะที่ผ่านมา ซึ่งจะนําไปสู่การวิเคราะห์และคาดประมาณแนวโน้มในอนาคตว่า
จะเปลี่ยนแปลงเพิ่มมากน้อยเท่าไร เพราะถ้าประชากรเพิ่มมากขึ้นย่อมหมายถึงความต้องการใช้ทรัพยากร
ในอนาคตที่จะต้องเพิ่มขึ้น รวมถึงความต้องการใช้ทรัพยากรที่ดินเพื่อการผลิตอาหารที่จะต้องเพิ่มขึ้น
ตามไปด้วย ซึ่งหากการพัฒนาสอดคล้องกับความต้องการของประชากรในพื้นที่ ก็จะทําให้โครงการต่างๆ
ประสบผลสําเร็จตามไปด้วย ซึ่งจํานวนประชากรในพื้นที่ดําเนินการศึกษาตามหลักฐานกรมการปกครอง
กระทรวงมหาดไทย ณ เดือนธันวาคม 2554 พบว่า
ลุ่มนํ้าสาขาโตนเลสาปตอนล่าง (1703) มีจํานวนประชากร 91,361 คน เป็นเพศชาย
46,653 คน และเพศหญิง 44,708 คน โดยมีประชากรอาศัยอยู่ในเขตเทศบาล จํานวน 26,230 คน และ
อยู่นอกเขตเทศบาล จํานวน 65,132 คน มีจํานวนครัวเรือนทั้งสิ้น 32,761 ครัวเรือน มีสมาชิกต่อ
ครัวเรือนเฉลี่ย 3 คน มีความหนาแน่นของประชากรเฉลี่ย 59 คนต่อตารางกิโลเมตร จากจํานวนประชากร
ในพื้นที่ลุ่มนํ้าสาขาโตนเลสาปตอนล่าง (1703) ในช่วง 5 ปี พบว่า ตั้งแต่ปี 2553-2555 พบว่า ในปี 2552
ประชากรมีแนวโน้มลดลงจากปี 2551 ร้อยละ 3.26 แต่หลังจากปี 2553-2555 ประชากรมีแนวโน้ม
การเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นทุกปี โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.85 1.85 และ 1.03 จากปีก่อนหน้า ตามลําดับ
(ตารางที่ 2-30)