Page 16 - การศึกษาวัสดุที่เหมาะสมสำหรับทำน้ำหมักชีวภาพจากสารเร่งซุปเปอร์ พด.2 เพื่อลดเวลาการย่อยสลายฟางข้าวและเพิ่มผลผลิตข้าวในชุดดินหางดง จังหวัดเชียงใหม่
P. 16

3





                   เป1นข#าวเหนียวต#นสูงทรงกอแผ'เล็กน#อย ความสูงประมาณ 150 เซนติเมตร ฟางค'อนข#างอ'อน รวงยาว

                   เมล็ดมีรูปร'างเรียว ลักษณะพันธุ
ไวต'อช'วงแสง ผลผลิตประมาณ 526 กิโลกรัมต'อไร' (ศูนย
วิจัยข#าวแพร',
                   2542) ปุHยสําหรับนาข#าวแบ'งได#ตามลักษณะดิน ถ#าเป1นนาข#าวในเขตที่ราบลุ'ม เช'น ภาคกลาง ภาคใต# และ
                   ภาคเหนือ ซึ่งเป1นดินที่มีเนื้อละเอียด เป1นนาดินเหนียวหรือดินร'วนปนดินเหนียว ซึ่งดินดังกล'าวนี้มีธาตุ
                   โพแทสเซียมพอต'อต#นข#าว ปุHยที่ใช#จึงไม'มีธาตุโพแทสเซียม เช'น ปุHยสูตร 16-20-0 , 20-20-0 และสูตร 18-

                   22-0 (ปฐพีชล, 2533)
                          ดินที่ดีมีตามหลักปฐพีวิทยาต#องมีลักษณะดังนี้ คือ เมื่อแบ'งส'วนประกอบของดินทั้งหมดเป1น
                   100 เปอร
เซ็นต
  ดินนั้นควรมีเนื้อดินที่เป1นอนินทรียวัตถุ เป1นชิ้นเล็กชิ้นน#อยของแร'และหินต'าง ๆ ที่
                   สลายตัวตามธรรมชาติ ส'วนนี้ควรมี 45 เปอร
เซ็นต
  ส'วนที่สอง คือ อินทรียวัตถุ เป1นส'วนที่เกิดจากการ

                   เน'าเปfgอยของซากพืชและสัตว
 ส'วนนี้ควรมี 5 เปอร
เซ็นต
  อีกสองส'วนที่เหลือควรมีอย'างละ 25
                   เปอร
เซ็นต
 คือ อากาศและน้ํา (คณาจารย
ภาควิชาปฐพีวิทยา, 2548) ในกรณีของดินนาซึ่งต#องมีน้ําขัง
                   เกือบตลอดเวลาจะมีอากาศในดินและน้ําน#อย ส'วนประกอบนี้จึงเป1นน้ําเกือบทั้งหมด การเผาตอซัง
                   และฟางข#าวทิ้งไปจึงเป1นการทําลายโอกาสที่จะพัฒนาดินให#มีศักยภาพการผลิตที่ดีขึ้น ดินนาส'วนใหญ'

                   มีอินทรียวัตถุในดินน#อยกว'า 2 เปอร
เซ็นต
                          ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกข#าวประมาณ 65 ล#านไร' หรือประมาณร#อยละ20 ของพื้นที่ทั้งประเทศ
                   ได#ผลผลิตข#าว 24  ล#านตัน มีฟางข#าวเฉลี่ยประมาณปeละ 25.45  ล#านตัน และมีปริมาณตอซังข#าวที่

                   ตกค#างอยู'ในนาข#าว 16.9 ล#านตันต'อปe ดังนั้นจึงนับได#ว'ามีปริมาณฟางข#าวและตอซังข#าวมากที่สุดเมื่อ
                   เปรียบเทียบกับตอซังพืชชนิดอื่น โดยมีปริมาณฟางข#าวและตอซังมากที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
                   คือจํานวน 13.7 และ 9.1 ล#านตันต'อปe รองลงมา คือ ภาคกลางและภาคตะวันออกมีจํานวนฟางข#าว
                   และตอซัง 6.2  และ 4.1  ล#านตันต'อปe และในพื้นที่ปลูกข#าว 1  ไร' มีปริมาณฟางข#าวและตอซัง โดย
                   เฉลี่ยปeละ 650 กิโลกรัม (กรมพัฒนาที่ดิน, 2557)

                          ฟางข#าวเป1นวัสดุที่สามารถย'อยสลายได# แต'ค'อนข#างช#า เนื่องจากมีอัตราส'วนคาร
บอนต'อ
                   ไนโตรเจน เฉลี่ย 99:  1  ในฟางข#าว 485  กิโลกรัมที่ได#ในหนึ่งไร' จะมีธาตุไนโตรเจน 2.3  กิโลกรัม
                   ฟอสฟอรัส 0.3  กิโลกรัม และโพแทสเซียม 5.7  กิโลกรัม ซึ่งธาตุเหล'านี้มีความสําคัญต'อความอุดม

                   สมบูรณ
ของดินในด#านธาตุอาหารของพืช (อินแปง, 2553)
                          ตอซังและฟางข#าวมีธาตุอาหารเป1นส'วนประกอบดังนี้ คือ ไนโตรเจน 0.65-0.70 เปอร
เซ็นต
                   ฟอสฟอรัส 0.08-0.10 เปอร
เซ็นต
 โพแทสเซียม 1.40-1.60 เปอร
เซ็นต
 แคลเซียม 0.40 เปอร
เซ็นต
                   แมกนีเซียม 0.20 เปอร
เซ็นต
   หากเผาตอซังและฟางข#าวทิ้งไปเหลือเป1นขี้เถ#านั้นไนโตรเจนจะถูก

                   ทําลายไปกว'า 90 เปอร
เซ็นต
  ฟอสฟอรัส 20 เปอร
เซ็นต
 และโพแทสเซียม 23 เปอร
เซ็นต
  ตอซังและ
                   ฟางข#าวมีเป1นจํานวนมากคิดคร'าวๆจากสัดส'วนของการผลิตข#าวเปลือก 1 ส'วนจะเกิดตอซังและฟาง
                   ข#าว 1.5 ส'วน  ป จจุบันประเทศไทยผลิตข#าวได#มากกว'า 20 ล#านตันข#าวเปลือกต'อปe  ดังนั้นจะมีตอซัง
                   และฟางข#าวกว'า 30 ล#านตันต'อปe  คิดเป1นปริมาณไนโตรเจนเพียงตัวเดียวเป1นปุHยยูเรียประมาณ

                   42,000 ตันต'อปe (พิสิฐ, 2549)
                          ตอซังและฟางข#าวเป1นวัสดุอินทรีย
ที่เหลือจากการทํานาหากปล'อยทิ้งไว#จะสลายตัวตาม
                   ธรรมชาติได#เป1นอินทรียวัตถุในที่สุด อินทรียวัตถุในดินเป1นวัตถุที่ซับซ#อนมากประกอบด#วย
                   สารประกอบที่มีในพืชและสัตว
และมีจุลินทรีย
ที่ตายแล#วและยังมีชีวิตอยู'  และยังมีสารสังเคราะห
ที่เกิด

                   จากกิจกรรมของจุลินทรีย
   เมื่อสลายตัวโดยกิจกรรมของจุลินทรีย
ธาตุอาหารเหล'านี้ก็จะถูกปลดปล'อย
   11   12   13   14   15   16   17   18   19   20   21